วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ของไทย


ในสมัยเด็กๆ หลายคนอาจจะต้องท่องจำว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่ออะไร ใครเป็นผู้แต่งเพลงสรรเสริญพระบารมี ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนก็ยังจำได้อยู่ แต่หลายคนก็อาจจะลืมเลือน ดังนั้น เพื่อเป็นการทบทวนความจำ ทั้งความรู้เก่าและเกร็ดความรู้ใหม่ ที่บางคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับประเทศไทย กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำสาระบางส่วนจากหนังสือ “ความรู้รอบตัว รอบรู้เรื่องเมืองไทย” ของฝ่ายวิชาการชมรมเด็ก ซึ่งจัดพิมพ์โดยสุวีริยาสาส์น มาเพื่อเสนอดังต่อไปนี้

แบบเรียนเล่มแรกของไทย
แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ “จินดามณี” แต่งโดย พระมหาราชครู กวีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี พ.ศ. 2199 - 2231)

ถนนสายแรกในเมืองไทย
ถนนสายแรกในเมืองไทย คือ ถนนเจริญกรุง (New Road) สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2404 โดยต่อมาได้มีการตัดถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร รวมทั้งถนนพระราม 4 และถนนสีลมในเขตชานพระนคร

น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก
น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2410 สันนิษฐานว่า ผลิตที่สิงคโปร์แล้วส่งมาถวาย โดยใส่หีบกลบขี้เลื่อย คนเฒ่าคนแก่ในสมัยนั้น ไม่เชื่อว่าจะทำน้ำแข็งได้จริง ถึงกับออกปากว่า “จะปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร”

พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จประพาสต่างประเทศ
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่เสด็จประพาสต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเสด็จประพาสสิงคโปร์เป็นแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2413 และเสด็จชวาด้วย

ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี
ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ โดยมีนายปโยตร์ ซูโรฟสกี้ (Pyotr Shchurovsky) ชาวรัสเซีย แต่งทำนองเพลงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2431

ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย
ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผลิตขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พิมพ์ออกใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2445 โดยก่อนหน้านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการผลิตธนบัตร หรือเงินกระดาษออกใช้เป็นครั้งแรก ในเมืองไทยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2396 แต่เรียกว่า “หมาย” ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาวรูปสี่เหลี่ยม พิมพ์ลวดลายด้วยหมึกทั้งสองด้าน และประทับตรา พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ตราจักร และพระราชลัญจกรประจำรัชกาลสีแดงชาด (ลัญจกร อ่านว่า ลัน-จะ-กอน แปลว่า ตราสำหรับใช้ตีหรือประทับ ราชาศัพท์ใช้คำว่า พระราชลัญจกร)

ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย
ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย คือ มิสเตอร์เฮนรี่ อาลบาสเตอร์ (ต้นตระกูล “เศวตศิลา”) ชนชาติอังกฤษ เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมาเผยแพร่เป็นคนแรก โดยเรียกว่า “ลอตเตอรี่” โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๗ เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา

คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน
คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน คือ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยากำแพงเพ็ชรอัครโยธิน โดยประทับเครื่องบินออร์วิลไรท์ คู่กับกัปตัน มร.เวนเดนเปอร์น ซึ่งขับวนเวียนเหนือสนามราชกรีฑาสโมสร เป็นเวลา 3 นาที 45 วินาที เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2453 เป็นเครื่องบินที่บริษัทฝรั่งเศสนำมาแสดง ณ ราชกรีฑาสโมสร(สนามม้านางเลิ้ง) ซึ่งถือว่าเป็นสนามบินแห่งแรก ที่ใช้ในการบินของเมืองไทยด้วย

พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงยังดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เมื่อปี พ.ศ. 2436 - 2445 รวมระยะเวลา 9 ปี

นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน
นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน คือ นามสกุล “สุขุม” พระราชทานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2456 ต้นสกุลคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก
ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก คือ พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นรถยนต์นั่ง (รถเก๋ง) ยี่ห้อออสติน จำนวน 4 คัน เปิดบริการรับจ้างครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2466 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ในสมัยนั้นเรียกว่า “รถไมล์”

ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรก
ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 6 โดยแต่เดิมเรานับเวลาตอนกลางวันเป็น “โมง” และตอนกลางคืนเป็น “ทุ่ม” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้เปลี่ยนมาเรียกว่า “นาฬิกา” (เขียนย่อว่า “น.”) และให้นับเวลาทางราชการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมสากลนิยม โดยให้ถือว่าเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ และให้ถือเวลาที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษเป็นมาตรฐาน ซึ่งเวลาในประเทศไทย เป็นเวลาก่อนหรือเร็วกว่าเวลาที่กรีนิช 7 ชม. เช่น ไทยเป็นเวลา 19.00 น. ทางกรีนิชเท่ากับ 12.00 น. เป็นต้น

ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก
ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก คือ มิสเตอร์เอ็ดวิน แมกพาแลนด์ ยี่ห้อเรมิงตัน

นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย คือ พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 - 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 ส่วนนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งคือ นายควง อภัยวงศ์ หลังจากที่เข้าดำรงตำแหน่งได้ประมาณ 1 เดือนเศษ ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 ได้ถูกคณะนายทหารเข้าพบ เพื่อขอร้องแกมบังคับ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้กับจอมพลป. พิบูลสงคราม กลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 3

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

"อกาลิโก" ธรรมะเป็นสิ่งที่ข้ามกาลเวลา


ธรรมบรรยายโดย ท่านติช นัท ฮันห์ แห่งหมู่บ้านพลัมฉันไม่คิดว่าการฝึกปฏิบัตินั้นจะใช้เวลายาวนาน หรือต้องใช้ความพยายามมากเกินไป ในพุทธศาสนาเราพูดถึงการตรัสรู้ การตรัสรู้นั้นสามารถเกิดขึ้นในขณะนี้ทันทีทันใด เมื่อหัวใจ ของเธอตัดสินใจที่จะเปิดออก ทุกอย่างเป็นไปได้ และเธอไม่ต้องใช้เวลามากมาย เพื่อให้หัวใจ ของเธอเปิดออกเมื่อเธอฝึก เธอต้องการจะหายใจเข้าอย่างมีสติ เธอจะสามารถหายใจเข้า อย่างมีสติโดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายาม เธอหายใจเข้าและออกตลอดเวลาอยู่แล้ว เธอ เพียงแค่ตระหนักรู้ว่าเธอกำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกเท่านั้น ซึ่งไม่ต้องการความพยายาม มากมาย นี่เป็นสิ่งที่น่ายินดีที่เราสามารถตระหนักรู้ได้ถึงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก และใน ทันทีทันใด ลมหายใจเข้าของเธอจะบำรุงหล่อเลี้ยงเธอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เวลา หรือความ พยายามมากมาย เหมือนว่าเธอกำลังนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน นั่งมองพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม งดงามมาก แต่ถ้าเธอเต็มไปด้วยความกังวล ความกลัว พระอาทิตย์ตกดินนั้นก็จะไม่อยู่กับเธอด้วยคนบางคนสามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระ สามารถที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ตกดิน ที่สวยงามได้อย่างแท้จริง หายใจเข้า ฉันตระหนักรู้ถึงพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม หายใจออก ฉันเบิกบานกับพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม แค่นั้นเอง เพียงเท่านี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลา หรือ ความพยายามใดๆ ความเข้าใจ ความปีติ เบิกบาน ก็จะเกิดขึ้นเองถ้าเธอมองไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วเธอมองเห็นความทุกข์ที่แสดงบนสีหน้าของเขา ท่าทีของเขา หรือวิธีการพูดของเขา เธออาจ จะมีแรงบันดาลใจที่จะมีความกรุณา ที่จะยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็นอยู่ และในทันทีเธอก็รู้สึกถึงสิ่งที่ประเสริฐ เธอรู้สึกเป็นอิสระจาก การตำหนิ เวลาที่เธอมองคนๆ หนึ่งด้วยความกรุณาไม่ได้ทำให้เธอมีงานมากมาย เธออาจมองแล้วคิดว่า "โอ น่าสงสารจังเลย เขาคง มีความทุกข์มาก และไม่รู้วิธีที่จะออกจากความทุกข์ เขาไม่ได้ต้องการการลงโทษ แต่เขาต้องการความช่วยเหลือ" เธอได้มองเขา ด้วยสายตาแห่งความกรุณา เธอจะรู้สึกดีขึ้นมาก และคนๆ นั้นก็จะรู้สึกดีเช่นเดียวกัน อย่าคิดว่านี่เป็นงานที่ต้องใช้ความพยายาม เป็นงานหนักที่เธอจะต้องทำ การฝึกปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ ถ้าเธอชอบ เธอจะทำได้ และเธอจะเห็นผล และนี่คือสิ่งที่เรา อธิบายว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่ข้ามกาลเวลา "อกาลิโก" ถ้าเธออยากจะก้าวเดินอย่างมีสติ อย่างมั่นคง เธอก็ก้าวเดินเช่นนั้น เธอไม่เห็น ต้องใช้เวลา 10 ปีถึงจะเดินแบบนั้นได้ ถ้าเธออยากทำจริงๆ ถ้าเธออยากจะมีอิสระจริงๆ เธอก็เริ่มก้าวได้เลย ขอให้โชคดี ...๐

ผ่านกฎหมาย “ท้องไม่พร้อม”



มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเรื่อง “ท้องไม่พร้อม” ผ่านฉลุย เน้นแปลง พ.ร.บ.อนามัยเจริญพันธุ์สู่แผนปฏิบัติจริงปีหน้า มุ่งพัฒนาการเรียนการสอนเพศศึกษารอบด้าน วานนี้ (17 ธ.ค.) รศ.ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ ในฐานะประธานที่ประชุมการพิจารณาวาระการแก้ปัญหาวัยรุ่นไทยกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม เปิดเผยว่า ซึ่งผลสรุปในที่ประชุมมีมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ เห็นชอบไปในทิศทางตามที่คณะทำงานเสนอ คือให้ภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดตั้งกลไกในการดำเนินการ แปลงนโยบายการพัฒนาอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ และยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กตั้งครรภ์ไม่พร้อม สู่แผนการปฏิบัติที่ชัดเจนภายในปี พ.ศ.2554 มุ่งให้เกิดกลไกขับเคลื่อนในระดับจังหวัด ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ให้กระทรวงศึกษาธิการ ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ ภาคเอกชน ร่วมดำเนินการให้การศึกษา พัฒนาหลักสูตรเกี่ยวกับเพศศึกษา และมีทัศนคติที่ถูกต้องแก่เด็ก ครูผู้สอนเพศศึกษา และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การสนับสนุนแผนเสริมสร้างสุขภาวะทางเพศในแผนชุมชน โดยสมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ จะให้ความร่วมมือในการร่วมดำเนินงานกับทุกฝ่าย และร่วมกันผลักดันร่าง พ.ร.บ.อนามัยเจริญพันธุ์ พ.ศ. ....... ให้มีการประกาศใช้ภายในปี พ.ศ.2555 พร้อมกันนี้ขอให้เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ รายงานความก้าวหน้าในเรื่องนี้ต่อสมัชชาสุขภาพ ครั้งที่ 5 ด้าน นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า คสช. จะสรุปเนื้อหาทั้งหมดในมติทุกๆ ประเด็น เพื่อรายงานต่อ คสช. ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ เพื่อพิจารณาและดำเนินการนำส่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณารับรองต่อไป สำหรับเรื่องการแก้ไขปัญหาวัยรุ่นไทยตั้งครรภ์ไม่พร้อมนั้น นพ.อำพลกล่าวว่า ที่ประชุมให้ความสำคัญกับเรื่องการสอนเพศศึกษารอบด้าน และสอนให้เร็วขึ้น ตั้งแต่ระดับประถมวัย และเหมาะสมกับช่วงชั้นของการเรียน ซึ่งยอมรับว่าการเรียนเพศศึกษาในปัจจุบันนั้นมีปัญหา เพราะยังอยู่ในวังวนเดิมๆ ไม่ได้สอนอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา สอนค่อนข้างช้า ในขณะที่การเรียนรู้เรื่องเพศของเด็กเป็นไปอย่างรวดเร็ว.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เคาะค่าโทร.มือถือไม่เกิน 99 สตางค์ต่อนาที



นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ รักษาการเลขาธิการ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ด กทช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ประชุมได้มีการหารือกรณี พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.... (พ.ร.บ.กสทช.) ที่อยู่ระหว่างลงพระปรมาภิไธย และจะประกาศใช้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะมีผลให้ กทช.จะต้องรักษาการเป็น กสทช. และต้องทำหน้าที่ตามกฎระเบียบที่ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.กสทช.
นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดได้เร่งรัดพิจารณาหลายเรื่อง ประกอบด้วยการเรียกคืนคลื่นความถี่ย่าน 1900 เมกะเฮิร์ตซ์ จากบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) โดยมอบหมายหน้าที่ให้ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการ กทช.ไปศึกษาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีกครั้ง ขณะเดียวกัน กทช.มีมติกำหนดอัตราค่าบริการโทรคมนาคมตามประกาศ โดยคิดอัตราขั้นสูง 99 สตางค์ต่อนาที และอัตราขั้นต่ำที่ 51 สตางค์ โดยจะมีผลทันทีหลังจาก กทช.มีมติ และจะมีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รับทราบประกาศดังกล่าวต่อไป
นายฐากรกล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายในส่วนของค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานรวม 2,100 ล้านบาท จากงบประมาณรายได้ประจำปี 2553 จำนวน 4,600 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,600 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่ารายได้ที่เหลือราว 1,000 ล้านบาทส่งคืนกระทรวงการคลัง


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีสร้างบุคลิกภาพให้ดูดี

บุคลิกภาพเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นปราการด่านแรกที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จที่คาดหวังไว้ มีวิธีการสร้างบุคลิกภาพให้ดูดีมาแนะนำ
เริ่มจาก การมอง เพราะสายตาสามารถบ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกได้ เช่น ความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความเคารพ หรือความเหยียดหยามดูหมิ่นดูแคลน ดังนั้น เวลามองผู้อื่นควรใช้สายตาที่แสดงถึงความสุภาพเรียบร้อย การเดิน ต้องใส่ความมั่นใจและสง่างาม คือเดินตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง ก้าวเท้ายาวพอประมาณและสอดคล้องกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่สวมใส่
ถัดมาคือ การแต่งกาย ที่บ่งบอกถึงการเอาใจใส่ตัวเอง เพราะการแต่งกายจะทำให้ดูดีหรือดูแย่ได้ ดังนั้นควรเลือกเครื่องแต่งกายเหมาะสมกับกาลเทศะ สะอาดเรียบร้อย
มาถึงหัวใจสำคัญ คือ การพูด การพูดต้องมีศิลปะ พูดเพื่อให้ชนะใจผู้ฟัง โดยคำพูดต้องสุภาพ มีเหตุผล น้ำเสียงไพเราะชวนฟัง และการใช้คำพูดควรเหมาะสมกับผู้ฟัง โดยคำนึงถึงวัย เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ และความสนใจพิเศษของผู้ฟัง
สุดท้ายที่ สุขภาพ คือ สุขภาพดี ไม่มีโรคภัย ร่างกายแข็งแรง เพราะคนป่วยออด ๆ แอด ๆ จะดูอ่อนแอ ไม่คล่องแคล่ว บางโรคส่งผลถึงความซีดเซียว ห่อเหี่ยวหม่นหมอง จนขาดสง่าราศรี ฉะนั้นการดูแลสุขภาพให้ดีคือต้นทุนของการพัฒนาบุคลิกภาพที่สำคัญ

เดินเพื่อสุขภาพ


การเดินก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีอีกทางหนึ่ง ทำให้สุขภาพแข็งแรง วันนี้มีเคล็ดลับในการเดินมาบอกกัน1.เริ่มจากหารองเท้าที่ใส่สบาย เดินนานๆแล้วไม่เจ็บ เวลาซื้อก็อาจซื้อรองเท้าสำหรับวิ่ง แล้วหาสถานที่กว้างๆอย่าง สวนสาธารณะ หรือพื้นที่ในหมู่บ้าน2.เดินได้เลย ทุก ๆ 30 วินาที ให้เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับความเร็วที่คิดว่าพอสำหรับการเดินเร็ว3.เมื่อเดินเร็วจนถึงจุดสูงสุด คอยรักษาระดับนี้ไปเรื่อยประมาณ 30 นาทีแต่ต้องมั่นใจว่าเดินไม่ใช่การวิ่งจนเหนื่อยหอบ แต่ในครั้งแรกๆอาจใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ได้ แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาให้นานขึ้นทุกๆสัปดาห์ และจะสังเกตุได้ว่าร่างกายจะแข็งแรงมากขึ้น4.นึกไว้อยู่เสมอว่าเดินอย่างไร ต้องรู้ว่าตัวเองเดินอย่างถูกต้องหรือยัง เพราะถ้าไม่งั้นอาจจะเจ็บข้อเท้าและปวดเมื่อยได้ วิธีเดินให้ถูกต้องคือ ให้ส้นเท้าแตะพื้นก่อนแล้วค่อยๆ วางฝ่าเท้าและนิ้วเท้าหลังสุด เดินต่อไปด้วยฝ่าเท้าทั้งหมด
รู้อย่างนี้แล้ว หันมาเดินเพื่อสุขภาพกันดีกว่านะค่ะ

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

===> การเกิด SONIC BOOM ของอากาศยาน <===


Sonic Boom คือ เสียงดังเช่นเสียงฟ้าร้อง อันเกิดจากอากาศยานเคลื่อนผ่านอากาศเหนือศีรษะของเรา ด้วยความเร็วสูงกว่าความเร็วของเสียง สาเหตุการเกิด Sonin Boom คลื่นเสียงเกิดจากอากาศถูกกดดัน โดยต้นกำเนิดของเสียง จะกดดันอากาศให้เกิดความไม่สม่ำเสมอกัน (ในกรณีที่เสียงเคลื่อนผ่านอากาศ) โดยความกดดันที่ไม่สม่ำเสมอนี้จะเคลื่อนตัวผ่านอากาศจนกระทั่งมากระทบหูของเรา ซึ่งเราสามารถ sense ความแตกต่างของความกดดันนี้ แล้วแปลออกมาเป็นเสียงในสมองของเรา

เมื่อวัตถุเคลื่อนผ่านอากาศ เช่น เครื่องบินเคลื่อนตัวไปในอากาศ ก็จะดันและแยกอากาศออกเพื่อแทรกตัวเข้าไป โดยอากาศนอกจากจะถูกแยกออกแล้ว ก็ยังต้องไหลกลับไปรวมตัวกันข้างหลังของเครื่องบิน เพื่อแทนที่ลำตัวของเครื่องบินที่ผ่านไปแล้ว การมุดตัวไปในอากาศก็ทำให้เกิดคลื่นรูปกรวยที่แหลมออกที่จมูกของเครื่องบิน โดยส่วนที่เป็นผิวของกรวยนี้แหละที่ก่อตัวเป็นสันคลื่นหรือ Shockwave

หากเครื่องบินเคลื่อนตัวด้วยความเร็วต่ำกว่าเสียง คลื่นเสียงอันเกิดจาก compressed air จาก Shockwave นี้ก็จะกระจายออกไปในทุกทิศทุกทาง เราก็จะได้ยินเสียงกระหึ่ม แต่เมื่อมันเคลื่อนตัวด้วยความเร็วเหนือเสียง ตัวเครื่องบินก็ไล่ทันคลื่นเสียงที่อยู่ข้างหน้า และก่อคลื่นใหม่ตามไป คลื่นพวกนี้ก็อัดซ้อนตัวเสริมกำลังกัน ทำให้มีแรงกดดันมากกว่า noise ธรรมดาจึงเรียกว่า Sonic boom เพราะมันมีกำลังมาก แต่ถ้าเครื่องบิน นั้นบินสูงๆ กว่าคลื่นจะลงมาถึงพื้นมันก็อ่อนตัวลงไปตามระยะทางแล้ว (decay) ทำให้เราได้ยินเป็นเสียงกระหึ่มเท่านั้น คือมันได้หมดกำลังไม่ได้เป็น Sonic boom ไปแล้ว ในทางกลับกัน ถ้าเครื่องบินบินเหนือเสียงใกล้พื้น กำลังของ Sonic boom ก็ยังแรงมาก จนอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนประชาชนได้เช่น กระจกแตก จึงมักมีกฏบังคับว่าจะบินเหนือเสียงได้ในเขตใดๆ ให้ห่างไกลจากชุมชน Shockwave จะเกิดขึ้นตามส่วนที่ ยื่นออกจากตัวยานไปตัดกับอากาศ ในขณะเคลื่อนตัว เช่น จมูก, ปีก, สันตามลำตัว, หาง ฯลฯ แต่เมื่อเคลื่อนที่ออกห่างจากตัวไปเรื่อยๆ คลื่นเหล่านี้มักจะผสานกันจนเหลือ Shockwave อยู่สองที่ที่จมูกและหางเท่านั้น ดังนั้น เราก็จะได้ยิน Sonic Boom สองลูกเสมอ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วเครื่องบินที่ลำไม่ใหญ่นัก ระยะทางระหว่างคลื่นจากหัวและหางก็ไม่ต่างกันนัก เช่นเครื่องบินพวก fighter ขนาดความยาวประมาณ 50 ฟุต นั้นจะมี Sonic boom ห่างกันประมาณ 0.1 วินาที หูของเราไม่อาจแยกแยะได้ ก็ทำให้คิดไปว่าได้ยินเสียงบูมเดียว อย่าง Space Shuttle ความยาว 122 ฟุต Sonic boom จะห่างจากกันครึ่งวินาที ซึ่งหูมนุษย์สามารถแยกแยะได้ว่ามีสองเสียง กำลังของ Sonic boom (intensity) ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง คือ ความเร็ว, เพดานบิน และความอ้วนหรือผอมของเครื่องบิน ฉะนั้น พวก fighter jet ซึ่งลำเรียวเพรียวลม ก็จะทำให้เกิด Sonic boom ที่มีกำลังอ่อนกว่ายาน space shuttle ซึ่งอ้วนล่ำ และหัวหูมู่ทู่ กว่ามาก กำลังของ Sonic boom วัดกันเป็น ปอนด์ต่อตารางฟุต ที่ "เกิน" ไปจากความกดดันอากาศโดยปกติ (lbs/sqft overpressure) คือความดันที่เหนือจาก 2,116 lbs/sqft (อันเป็นความกดดันของบรรยากาศ) ที่เราได้ยินส่วนมากจะมีกำลัง 1-2 ปอนด์/ตร.ฟุต overpressure จากผลการวิจัย ตึกที่อยู่ในสภาพดีสามารถทน Sonic boom ที่มีกำลังถึง 11 lb/sqft overpressure (เรียกสั้นเป็นปอนด์ ก็แล้วกันขี้เกียจพิมพ์แล้ว) ได้โดยไม่เกิดความเสียหายแต่อย่างใด เคยมีคนเจอ Sonic boom ที่มีกำลังถึง 144 ปอนด์โดยไม่มีอะไรเสียหาย จะให้หูหนวกก็ต้องให้มีกำลังถึง 720 ปอนด์ overpressure ไปถึง 2160 ปอนด์ก็จะทำให้ปอดฉีก แต่ว่าเราคงสร้าง Sonicboom ขนาดนั้นได้ยาก จากเครื่องบินจะมี Sonic Boom สองลูกคือ จากหัวลูกหนึ่ง และจากหางลูกหนึ่ง ในรูปนั่นเขาเขียนกรวยไว้อันเดียว เพราะถ้าทำสองอันแล้วมันจะซ้อนกันเห็นไม่ถนัดไม่ใช่ว่ามีลูกเดียวนะ โดยที่เราจะได้ยินครั้งเดียวหรือสองครั้งมันอยู่ที่ว่าเวลาของบูมสองลูกนี้จะห่างกันเท่าไหร่ อันขึ้นอยู่กับความยาวของเครื่องบินเอง
ถามว่า Sonic boom เป็น continuous wave มั้ย ต้องอธิบายอีกหน่อยว่า Sonic boom ลูกหนึ่งจะแผ่ออกตามผนังกรวยที่เห็นในภาพ โดยมันก็จะแผ่กระจายตัวออกมาเรื่อยๆจนกระทบพื้นแล้วก็จะสลายไป ถ้าคุณยืนอยู่ที่จุดๆหนึ่งบนพื้น คุณจะได้ยินเสียงปังเดียว จาก Sonic boom ลูกนั้น เท่านั้น จะได้ยินอีกที ต้องเป็นบูมมาจากลูกใหม่ ไม่ใช่ลูกเดิม แต่ก็เหมือนกับเรือแล่นน้ำไปเรื่อยๆ มันก็จะดันน้ำให้เกิดคลื่นลูกใหม่ ตราบเท่าที่เรือยังแล่นอยู่อย่างนั้น เครื่องบินก็เช่นเดียวกัน ตราบใดที่มันยังบินด้วยความเร็วเหนือเสียงไปเรื่อยๆอยู่อย่างนั้น ก็จะเกิด Sonic boom ลูกใหม่ออกมาไม่ขาดสาย ตามเทคนิคแล้วคงไม่ใช่ continous wave เพราะไม่ได้เป็นคลื่นที่เคลื่อนมาจากอากาศกลุ่มเดียวกัน แต่เป็นคลื่นที่เคลื่อนมาจากอากาศกลุ่มใหม่ สมัยก่อน เค้ากลัวกันมากว่าถ้าบินเร็วกว่าเสียงแล้วเครื่องบินจะแตก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ความกดดันของอากาศจะทวีขึ้นเรื่อยๆเมื่อเร่งความเร็วสูงขึ้น ก็เนื่องมาจากความต้านทานของอากาศ (drag) พอมันถึงระดับความเร็วเสียง ความกดดันอยู่ๆจะเพิ่มทวีคูณ ที่เค้าเรียกว่า maximum dynamic pressure เครื่องบินสมัยก่อนทานไม่ได้ ก็เหมือนบินไปชนกำแพงอะไรสักอย่าง เขาจึงเรียกว่าเป็นกำแพงเสียง แต่จริงๆแล้วไม่มีการข้ามกำแพงอะไรหรอก แต่ว่าต่อมาสักสี่ห้าสิบปีมานี้ งานค้นคว้าวิจัยเจริญขึ้นมาก เข้าใจเรื่องนี้ได้มากขึ้น ก็สามารถสร้างเครื่องบินให้มีโครงสร้างแข็งแรง ทานความกดดันได้มากขึ้น เครื่องบินสมัยใหม่จึงสามารถบิน Supersonic ได้โดยไม่พังทลายลงก่อน

เตือน! โรคตาแดงระบาดหลังน้ำลด


ผอ.สำนักระบาดวิทยา ห่วง โรคตาแดงระบาดหลังปริมาณน้ำลดลง แนะหากมีอาการเจ็บตา-ตาแดง ให้รีบปรึกษาแพทย์นพ.ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา เปิดเผยว่า โรคตาแดงจะมีโอกาสระบาดได้ง่ายในช่วงน้ำลด เพราะเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายมากับน้ำสกปรก จะติดนิ้วมือและเข้าสู่ตาได้โดยการขยี้ โดยอาการของโรคตาแดงจะเริ่มจากระคายเคืองตา ตาขาวจะมีสีแดงเรื่อๆ มีน้ำตาไหล เจ็บตา มักจะมีขี้ตามากร่วมด้วย ส่วนการป้องกันคืออย่าลงเล่นน้ำขัง ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด และไม่ควรใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วยตาแดง อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเจ็บตา ตาแดง มีขี้ตามาก ควรรีบไปพบแพทย์ในหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ หรือสถานีอนามัยที่อยู่ใกล้ทันที ไม่ควรซื้อยามาหยอดตารักษาเอง เนื่องจากอาจไม่ได้ผลและอาจทำให้การอักเสบรุนแรงมากขึ้น

ที่มาของบันไดเลื่อน และบันไดเลื่อนตัวแรกของไทย


อยากทราบที่มาของบันไดเลื่อน และบันไดเลื่อนตัวแรกของไทย
บันไดเลื่อน มีวิวัฒนาการ มากจาก สายพาน ที่เลื่อนไปได้ ไม่มีจบสิ้น ใช้สำหรับ นำสินค้า เลื่อนไปในโรงงาน ต่อมา มีการใช้สายพานนี้ วางเอียงๆ เป็นเครื่องพา นักท่องเที่ยว ขึ้นไปบน หน้าผา นั่นเป็นรูปแบบดั้งเดิม ของบันไดเลื่อน ที่ไม่มีขั้นบันไดสำหรับบันไดเลื่อน รูปแบบที่ใช้อยู่ ในปัจจุบันนั้น บันไดแต่ละขั้น จะยึดติดกัน และมี ล้อเลื่อนขึ้นลงได้ ไปตามรางใต้บันได ขั้นบันได จะเลื่อนไปสู่ ปลายด้านหนึ่ง ของบันไดเลื่อน โดยจะค่อยๆ ลดระดับลง จนสุดที่ ปลายบันไดเลื่อน พาผู้ใช้ ขึ้นไปถึง ที่พักบันได เพื่อเลื่อน กลับมา การทำงานของบันไดเลื่อน จะมีมอเตอร์ไฟฟ้า หมุนเฟืองอันใหญ่ ฉุดให้ขั้นบันได เคลื่อนที่ นอกจากนี้ ยังฉุดราวบันได ซึ่งเป็น สายพานวิ่งได้รอบ ให้เคลื่อนที่ตามด้วย สำหรับให้ ผู้ใช้บันไดเลื่อน ยึดจับได้มั่นความเร็วของบันไดเลื่อนนั้น ประมาณ ๔๐ ฟุตต่อนาที แม้ลิฟท์ จะขนคนขึ้นที่สูง ได้เร็วกว่า แต่บันไดเลื่อน ก็ยังเป็น สิ่งจำเป็นอยู่ดี เพราะ บันไดเลื่อน เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ ขนย้าย จำนวนคน ได้มากกว่าลิฟท์ ในเวลาเท่ากันห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ราชประสงค์ เป็นผู้นำ บันไดเลื่อน ตัวแรก เข้ามาในเมืองไทย เปิดบริการเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๐๗ ปรากฏว่า ชาวกรุง แห่กันไป ใช้บันไดเลื่อน กันเนืองแน่น ยายของ "ซองคำถาม" เอง ยังอุตส่าห์ นั่งรถจาก นครปฐม มาขึ้น บันไดเลื่อน กับเขาด้วย ห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ที่ติดตั้ง บันไดเลื่อนตัวแรกนี้ ตั้งอยู่ทางฝั่ง ศูนย์การค้า เวิร์ลเทรดปัจจุบัน ต่อมา ห้าง ย้ายไปอยู่ ฝั่งตรงข้าม ไม่ทราบว่า เขาย้ายบันไดเลื่อนตัวแรก ตามไปด้วยหรือไม่ ปัจจุบัน อาคารห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ถูกทุบทิ้ง ไปนานหลายปีแล้ว

อาหารของดวงใจ


ความอิ่มเอิบ ด้วยอารมณ์ ทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั้น เป็นอาหารของฝ่ายโลก ความอิ่มเอิบด้วยปีติและปราโมชอันเกิดจากความที่ใจสงบจากอารมณ์เป็นอาหารของฝ่ายธรรมอุดมคติของชีวิต คือ ความถึงที่สุดแห่งอารยธรรมทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมเพราะฉะนั้น ชีวิตย่อมต้องการอาหารทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม ถ้ามีเพียงอย่างเดียว ชีวิตนั้น ก็มีความเป็นมนุษย์ เพียงครึ่งเดียว หรือ ซีกเดียว.เราหาความสำราญให้แก่กายของเราได้ไม่สู้ยากนัก แต่การหาความสำราญให้แก่ใจนั้นยากเหลือเกิน ความสำราญกายเห็นได้ง่ายรู้จักง่าย ตรงกันข้ามกับความสำราญทางใจ แต่ไม่มีใครเชื่อเช่นนี้กี่คนนัก เพราะเขาเชื่อว่าไม่มีความสำราญอย่างอื่นที่ไหนอีกนอกจากความสำราญทางกาย และเมื่อกายสำราญแล้วใจก็สำราญเองคนพวกนี้ ไม่ฟังธรรมหรือศึกษาธรรมและไม่ไหว้พระสงฆ์ซึ่งเป็น นิมิต อันหนึ่งของธรรม.ความสำราญทางกาย หรือฝ่ายโลกนั้น ต้อง"ดื่ม" หรือ ต้อง"กิน" อยู่เสมอจึงจะสำราญ แต่ที่แท้มันเป็นเพียงการระงับ หรือกลบเกลื่อนความหิวไว้ทุกชั่วคราวที่หิวเท่านั้น ส่วนความสำราญฝ่ายใจหรือฝ่ายธรรมนั้น ไม่ต้องดื่ม ไม่ต้องกิน ก็สำราญอยู่เอง เพราะมันไม่มีความหิว ไม่ต้องดื่มกินเพื่อแก้หิวที่กล่าวนี้ ผู้ที่นิยมความสำราญทางกายอย่างเดียว อาจฟังไม่เข้าใจก็ได้แต่อย่าเพ่อเบื่อหน่าย ขอให้ทนอ่านสืบไปอีกหน่อยพวกที่นิยมความสำราญกาย ในทางโลก กล่าวว่า "ใจอยู่ในกาย" แต่พวกนิยมความสำราญใจ ในทางธรรม กล่าวว่า "กายอยู่ในใจ"พวกแรกรู้จักโลกเพียงซีกเดียว พวกหลังอยู่ในโลกนานพอจนรู้จักโลกดีทั้งสองซีกแล้ว ขณะเมื่อพวกที่ชอบสำราญกายกำลังปรนเปรอให้เหยื่อแก่ความหิวของเขาอย่างเต็มที่นั้น พวกที่ชอบสำราญใจกำลังเอาชนะความหิวของเขาได้ ด้วยการบังคับอินทรีย์จนมันดับสนิท สงบอยู่ภายใต้อำนาจของเขาเองพวกแรก เข้าใจเอาคุณภาพของการให้ "สิ่งสนองความอยาก" แก่ความหิวของเขาว่าเป็นความสำราญพวกหลัง เอาคุณภาพของการที่ยิ่งไม่ต้องให้สิ่งสนองความอยากเท่าใดยิ่งดี ว่าเป็นความสำราญพวกหนึ่ง ยิ่งแพ้ตัณหามากเท่าใดยิ่งดี อีกพวกหนึ่ง ยิ่งชนะมาก เท่าใด ยิ่งดี !พวกที่ชอบสำราญกาย ย่อมจะแพ้ตัณหาอยู่เองแล้ว โดยไม่รู้สึกตัว ทำเองและชักชวนลูกหลาน ให้หาความสำราญกายอย่างเดียว เพราะไม่รู้จักสิ่งอื่น นอกจากนั้น ครั้นได้เครื่องสำราญกายมา ใจก็ไม่สงบสุข เพราะมันยังอยากของแปลกของใหม่อยู่เสมอไป (ได้เพียงความสำราญชั่วแล่น เหมือนกินข้าว มื้อหนึ่ง ก็สงบหิวไปได้ชั่วมื้อหนึ่ง) เมื่อความหม่นหมองใจ เกิดขึ้น ก็คิดเอาว่าตนเป็นคนมีกรรมหรือโชคร้ายไม่เหมือนคนอื่นเขา เมื่อต้องเจ็บป่วยตามธรรมดาของสังขาร ก็น้อยใจโชคของตัว อย่างหาที่เปรียบมิได้ยิ่งเมื่อแสวงหาโชคโดยทางใดก็ไม่ได้เสียเลยแล้ว ก็เลยเห็นไปว่า ในโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม มีแต่ความดุร้าย คนชนิดนี้ ในที่สุด ก็มอบตัวให้แก่ ธรรมชาติฝ่ายต่ำ ประกอบกรรมชนิดที่โลกไม่พึงปรารถนา ต่อสู้สิ่งที่เรียกว่า โชคชะตาไป แม้อย่างดีที่สุด คนพวกนี้ จะทำได้ก็เพียงแต่ เป็นผู้ทนระทมทุกข์ อยู่ด้วยการแช่งด่าโชคชะตาของตัวเองเท่านั้นในสโมสรหรือสมาคมของพวกที่แสวงความสำราญทางกาย ซึ่งกำลังร่าเริงกันอยู่นั้น พวกเทพยดาย่อมรู้ดีว่า เป็นการเล่นละครย้อมสีหน้าก็มี หลงทำไป ทั้งที่ตัวเองหลอกตัวเองให้เห็นว่าเก๋ ว่าสุข ก็มาก บางคนต้องร้องไห้และหัวเราะสลับกันทุกๆ วัน วันละหลายครั้ง จิตใจฟูขึ้น แล้วเหี่ยวห่อลง, ขึ้นๆ ลงๆ ตามที่กระเป๋าพองขึ้นหรือยุบลง หรือตามแต่จะได้เหยื่อที่ถูกปากและไม่ถูกปาก ใจของพวกนี้ยังเหลืออยู่นิดเดียวเสมอเท่าที่เขารู้สึก จึงทำให้เขาเข้าใจว่า ใจอยู่ในกายคือแล้วแต่กาย หรือสำคัญอยู่ที่กาย เพราะต้องต่อเมื่อ เขาได้รับความสำราญกายเต็มที่แล้วต่างหาก ใจของพวกเขา จึงเป็น อย่างที่เขา เรียกว่า "สุข"แม้คนพวกนี้จะพูดว่า ความสำราญใจ ! ความสำราญใจ !!" อยู่บ้าง ก็เป็นเพียง การหลงเอาความสำราญฝ่ายกายขึ้นมาแทนเท่านั้น จะสำราญใจได้อย่างไร ในเมื่อใจถูกทำให้พองขึ้น ยุบลงเสมอ ความพองขึ้น หรือยุบลงก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งทรมานใจให้เหน็ดเหนื่อย เท่ากัน เพียงแต่เป็นรุปร่างที่ต่างกันเท่านั้นลาภ ยศ สรรเสริญ และความเพลิดเพลิน ทำให้พองเบ่ง เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกสบประมาท และหาความเพลิดเพลินมิได้ ทำให้ยุบเหี่ยว แต่ทั้งสองอย่างทำความหวั่นไหว โยกโคลง ให้เท่ากันอย่างเด็ดขาด เมื่อเขาได้สมใจอยาก เขาก็ได้ความหวั่นไหว เมื่อไม่ได้ ก็ได้ความหวั่นไหว เมื่อมืดมนหนักเข้า ก็แน่ใจลงเสียว่า ความอร่อยหรือขณะที่อร่อย นั่นแหละเป็น "พระนิพพาน" ของชีวิตแต่เมื่อคิดดู เราพอจะเห็นได้ว่า นั่นยังไม่ได้ถอยห่างออกมาจากกองทุกข์แม้แต่นิดเดียว, มันเป็นเพียงความสำคัญผิดเท่านั้นและเป็นความสำคัญผิดที่จะมัดตรึงตัวเองให้ติดจมอยู่กับบ่อโคลนนั่นตลอดเวลาเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเห็นได้สืบไปว่า การสำราญทางฝ่ายโลกหรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ฝ่ายกายหรือวัตถุนั้นคืออะไร และเมื่อได้ หมกมุ่นมัวแต่แสวงอาหารให้กายท่าเดียวแล้วจะเป็นอย่างไร หรืออีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ารู้จักความสุขเฉพาะในด้านนี้ด้านเดียวแล้ว ก็จะรู้จักโลกเพียงซีกเดียว อย่างไร และยิ่งกว่านั้น คนที่รู้จักโลกเพียงซีกหนึ่งเช่นนี้ หาอาจทำอารมณ์เหล่านี้ ให้เป็นเครื่องอำนวยความสะดวก หรือความเพลินแก่เขาได้เช่นเดียวกับผู้ที่เข้าใจโลกดีทั้งสองซีกไม่ เพราะต้องตกเป็นทาสของความมัวเมารื้อไม่สร่าง บูชามันให้เป็น สิ่งสูงสุดกว่าสิ่งใดอยู่เสมอส่วนผู้ที่รู้จักโลกดีแล้วนั้น ย่อมบูชาความสำราญทางธรรม หรือฝ่ายใจอันแท้จริงเป็นส่วนสำคัญ และถือเอาส่วนกายหรือวัตถุ เป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวกในฐานเป็นคนใช้ สำหรับรับใช้ ในการแสวงหาความสำราญ ทางฝ่ายจิตเท่านั้นพวกนี้จึงมีอุดมคติว่า"กายอยู่ในใจ" คือแล้วแต่ใจ กายเป็นของนิดเดียว, และอาศัยใจซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดและคุณภาพสูงสุด อยู่ทุกๆประการและทุกๆเวลา "แสวงหาอาหาร ให้ดวงใจดีกว่า ! " ความเจริญงอกงามของดวงใจนั้น ยังไปได้ไกลอีกมากมายนักคือกว่าจะถึงพระนิพพานเมื่อไรนั่นแหละจึงจะหมดขีดของทางไปแล้ว มีอุดมสันติสุขอยู่ตลอดอนันตกาลส่วนความเจริญทางกายนั้น ไม่มีทางไปอีกต่อไป สูงสุดอยู่ได้เพียงแค่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ อารมณ์ทางใจ บางอย่าง เช่น ยศศักดิ์เท่านั้น แต่ไม่มีใครเคยทำให้เกิด ความอิ่ม ความพอใจในเรื่องนี้เลย แม้ในอดีต, ในปัจจุบัน และ อนาคต. เพราะว่า การแสวงหาทางฝ่ายนี้ ต้องการ "ความไม่รู้จักพอ" นั่นเอง เป็นเชื้อเพลิงอันสำคัญแห่งความสำราญ ถ้าพอเสียเมื่อใด ก็หมดสนุก ! ใครจะขวนขวายอย่างไร ก็ไม่อาจได้ผลสูงไปกว่า "การสยบซบซึมอยู่ ท่ามกลางกองเพลิง แห่งความถูกปลุกเร้าของตัณหา" ซึ่งเมื่อใดม่อยหรี่ลง ก็จะต้องหาเชื้อเพลิงเพิ่มให้ใหม่อีก และไม่มีเวลาพอ เช่นเดียวกับไฟธรรมดา กับ เชื้อเพลิงธรรมดา เหมือนกันเพราะฉะนั้น การแสวงหาอาหารทางฝ่ายใจ เพื่อดวงใจ จึงเป็นสิ่งที่มีค่า น่าทำกว่า, เป็นศิลปะกว่า เป็นอุดมคติที่สูงกว่า, ทำยาก หรือ น่าสรรเสริญกว่า, หอมหวนกว่า เยือกเย็นกว่า ฯลฯ กว่าโดยทุกๆ ปริยาย.

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สุขกับทุกข์มีราคาเท่ากัน


...การภาวนาคือการทำให้สงบ เมื่อสงบแล้วก็คือทำให้รู้ การทำให้สงบหรือทำให้รู้นี้ต้องลงมือปฏิบัติ กายกับจิตสองอย่างนี้เอง ไม่ใช่อื่นความเป็นจริงสิ่งที่กล่าวนี้มันเป็นสิ่งละสิ่ง เช่น รูปก็เป็นส่วนหนึ่ง เสียงก็เป็นส่วนหนึ่ง กลิ่นก็เป็นส่วนหนึ่ง รสก็เป็นส่วนหนึ่ง โผฏฐัพพะก็เป็นส่วนหนึ่ง ธรรมารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ละอย่างนี้ก็เป็นคนละส่วน ๆ อยู่ แต่ท่านก็ให้เรารู้จักมันเสีย แยกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออก สรุปเป็นสุขทุกข์บ้าง สุขเกิดขึ้นมาก็เป็นสุขเวทนา ทุกข์มันเกิดขึ้นมาก็เรียกทุกขเวทนา เรื่องสุขกับทุกข์ ท่านก็จัดไว้เพื่อให้แยกมันออกจากจิต จิตก็คือผู้รู้ เวทนานั้นก็คืออาการที่มันสุขหรือทุกข์ ชอบใจไม่ชอบใจ เป็นต้น เมื่อจิตของเราเข้าไปเสวยในอาการเหล่านั้นเรียกว่า จิตของเราเข้าไปยึดหรือหมายมั่น หรือสำคัญมั่นหมายในความสุขนั้น ในความทุกข์นั้นนั่นเอง การที่เราเข้าไปหมายมั่นนั้นก็คือเรื่องของจิต อาการที่มันสุขหรือทุกข์นั้น คืออาการของเวทนา ที่เป็นความรู้นั้นเรียกว่าจิตของเรา ที่ชื่อว่าสุขหรือทุกข์นั้นมันเป็นเวทนา ถ้ามันสุขก็เรียกว่าสุขเวทนา ถ้ามันทุกข์ก็เรียกว่าทุกขเวทนาถ้าปกติของจิตเราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อเกิดเวทนาเข้ามา ก็เกิดสุขทุกข์อย่างนี้ ถ้าเรามีสติอยู่ก็จะรู้ว่าอันนี้เรียกว่าสุข ที่เป็นสุขนั้นมันก็สุขอยู่ แต่จิตรู้ว่าสุขนั้นไม่เที่ยง มันก็ไม่ไปหยิบเอาสุขอันนั้น สุขนั้นมีอยู่ที่ไหน มีอยู่ แต่มันอยู่นอกจิต ไม่มีฝังอยู่ในดวงจิต แต่ก็รู้ได้ชัดเจน หรือเมื่อทุกข์เกิดขึ้นมา ถ้ามันแยกเวทนาได้ มันไม่รู้จักทุกข์หรือ? รู้ มันรู้จักทุกข์ แต่ว่าจิตมันก็เป็นจิตเวทนา มันก็เป็นเวทนา จิตนั้นจะไม่ไปยึดทุกข์มาแบกไว้ว่าทุกข์ ว่านี้มันเป็นทุกข์ นี่ก็เพราะเราไม่ไปยึดให้เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมายคำที่กล่าวว่าพระพุทธองค์และพระอริยเจ้าของเราท่านตัดกิเลสแล้ว ท่านฆ่ากิเลสแล้วนี้ ไม่ใช่ท่านไปฆ่ากิเลสหรอก ถ้าท่านฆ่ากิเลสหมดแล้ว เราก็คงไม่มีกิเลสน่ะสิ เพราะท่านฆ่าไปหมดแล้ว ความจริงท่านไม่ได้ฆ่ามัน แต่ท่านรู้แล้ว ท่านก็ปล่อยมันไปตามเรื่องของมัน ใครโง่ มันก็ไปจับเอาคนนั้นแหละ ท่านรู้เฉพาะใจของท่านว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นพิษ ท่านก็เขี่ยมันออกไป สิ่งที่ทำให้ท่านเกิดทุกข์ ท่านก็เขี่ยมันออกไป ไม่ได้ฆ่ามันหรอก คนที่ไม่รู้ว่าท่านเขี่ยออก กลับเห็นว่าดีก็ไปตะครุบเอา เออ... อันนี้ดีนี่ ก็ตะครุบเอา ความเป็นจริงพระพุทธเจ้าท่านทิ้ง อย่างสุขยังงี้ท่านก็เขี่ยออก เราก็เห็นว่าดี ก็ตะครุบเอาเลย จับใส่ย่ามไปเลยว่าของดีของเรา ความเป็นจริงนั้นท่านรู้เท่าทัน เมื่อสุขเกิดขึ้นมาท่านก็รู้ว่ามันเป็นสุข แต่ท่านไม่มีสุข ท่านก็รู้อยู่ว่าอันนี้มันเป็นสุข แต่ท่านไม่ไปสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นของเขา ว่าเป็นของเราทั้งนั้น อย่างนี้ท่านก็ปล่อยมันไป ทุกอย่างก็เหมือนกันพระพุทธองค์ท่านทรงรู้ว่าสุขทุกข์นี้มันเป็นโทษ สุขทุกข์จึงมีราคาเท่ากัน ดังนั้นเมื่อสุขทุกข์เกิดขึ้นท่านจึงปล่อยวางไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันมีราคาเสมอเท่ากันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจิตใจของท่านจึงเป็นสัมมาปฏิปทา เห็นสิ่งทั้งสองนี้มีทุกข์โทษเสมอกัน มีคุณประโยชน์เสมอกันทั้งนั้น และสิ่งทั้งสองนี้ก็เป็นของที่ไม่แน่นอน ตกอยู่ในลักษณะของธรรมะว่าไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ เกิดแล้วดับไปทั้งหมดเป็นอย่างนี้ เมื่อท่านเห็นเช่นนี้สัมมาทิฐิก็เกิดขึ้นมา เป็นสัมมามรรค จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็ตาม หรือความรู้สึกนึกคิดทางจิตนั้นจะเกิดขึ้นมาก็ตาม ท่านก็รู้ว่าอันนี้เป็นสุขอันนี้เป็นทุกข์เสมอเลยทีเดียว ท่านไม่ได้ยึดการปฏิบัติภาวนานี้เป็นของสำคัญ รู้เฉย ๆ ไม่พอหรอก รู้เกิดจากการปฏิบัติที่จิตสงบ กับรู้ที่เราเรียนมานั้น มันไกลกันอยู่มากทีเดียว มันไกลกันมาก รู้ในการศึกษาเล่าเรียนนั้นมันไม่ใช่จิตของเรารู้ รู้แล้วมันตะครุบไว้ เก็บไว้ทำไม? เก็บไว้เพื่อให้มันเสีย เสียแล้วก็ร้องไห้ ถ้าเรารู้แล้วก็มีการปล่อยวาง รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ลืมตัว เมื่อถึงคราวทุกข์เจ็บไข้มา เราก็ไม่หลง บางคนคิดว่า เออ...ปีนี้ฉันเป็นไข้ตลอดปีนะ ไม่ได้ภาวนาเลย นี้คือคำพูดของคนที่โง่ที่สุดเลย คนเป็นไข้คนจะตายนี้มันควรจะรีบภาวนายิ่งขึ้น อันนี้ยิ่งไปพูดว่าเราไม่มีเวลาภาวนาเสียแล้ว ความเจ็บมันก็เกิดขึ้นมา ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นมา ความไม่ไว้ใจในสังขารเหล่านั้นมันก็มีมาแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าเรายังไม่ได้ภาวนา พระพุทธองค์ท่านไม่ตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสว่านั่นแหละมันกำลังถูกที่ที่เราปฏิบัติละ จวนจะเจ็บจะไข้จะตายยิ่งเร่งยิ่งรู้ยิ่งเห็นสัจธรรม มันเกิดเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าเราไปคิดเช่นนั้น มันก็ลำบากนะบางคนก็คิดว่าไม่มีโอกาส มีแต่การงานทั้งนั้น ไม่มีโอกาสที่จะภาวนา เคยมีอาจารย์หลายคนมาที่นี่ อาตมาถามว่าทำอะไร เขาตอบว่าสอนเด็ก มีงานมากสารพัดอย่าง วุ่น ไม่มีเวลาจะภาวนา อาตมาถามว่าเมื่อสอนเด็กนักเรียนน่ะ คุณมีเวลาหายใจไหม? มีครับ อ้าว...ทำไมมีเวลาหายใจล่ะ? ที่ว่าสอนเด็กอยู่งานมันยุ่ง นี่คุณห่างไปไกลไป ความเป็นจริงเรื่องปฏิบัติ มันเป็นเรื่องของจิต เรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปวิ่งไปเต้นอะไรมากมาย เป็นเรื่องความรู้สึกเท่านั้น ลมหายใจนั้นเราทำงานอยู่เราก็หายใจเรื่อยไป เราพยายามแต่เพียงให้มีสติให้รู้อยู่เท่านั้น พยายามเรื่อย ๆ เข้าไป ให้เห็นชัดเข้าไป การภาวนาก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าเรามีความรู้สึกอยู่อย่างนี้ จะทำงานอะไรอยู่ก็ตามเถอะ มันจะยิ่งทำให้การทำงานเหล่านั้นทำอย่างรู้ผิดชอบอยู่เสมอ นี้ให้คุณเข้าใจเสียใหม่ อาตมาบอกเขาอย่างนี้ เวลาที่จะภาวนานั้นมันเยอะ คุณเข้าไม่ถึงเฉย ๆ หรอก นอนอยู่ก็หายใจได้ ใช่ไหม? อยู่ที่ไหนก็หายใจได้ ทำไมมันจึงมีเวลาล่ะ ถ้าคุณคิดอย่างนี้ชีวิตของคุณก็มีราคาเท่ากับลมหายใจ แล้วมันจะอยู่ที่ไหนก็มีเวลา ความรู้สึกนึกคิดมันเรื่องของนามธรรม ไม่ใช่เรื่องของรูปธรรม ดังนั้นเพียงแต่ให้มีสติอย่างเดียวเท่านั้นก็จะรู้จักความรับผิดชอบอยู่ตลอดกาล ทั้งการยืน เดิน นั่ง นอนเหล่านั้น เวลามันเยอะไป เราไม่ฉลาดในเรื่องเวลาของเราเอง อันนี้ให้คุณเอาไปพิจารณาดู มันเป็นอย่างนี้ถ้าเรารู้จิตเป็นจิต เวทนาเป็นเวทนาเท่านี้ มันก็แยกกันเป็นคนละอย่างคนละตอน จิตมันก็พ้นได้สบาย อารมณ์มันก็เป็นอย่างนั้นของมันเอง เกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้น มันเกิดแล้วก็ดับไป ดับแล้วก็เกิดแล้วก็ดับ มันก็เป็นอยู่เท่านั้น เรารู้แล้วเราก็ปล่อยให้มันไปตามเรื่องของมันอยู่อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้รู้เห็นตามที่เป็นจริง อันนี้ปัญหามันก็จะจบลงที่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นแม้เรา จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็ขอให้มีการประพฤติปฏิบัติ มีสติสัมปชัญญะ อยู่ตลอดกาลเวลา เรื่องที่ถึงคราวนั่งสมาธิเราก็ทำไป ให้เข้าใจว่าการทำสมาธิก็เพื่อให้เกิดความสงบ ความสงบนั้นมันจะเพาะกำลังให้เกิดเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ว่านั่งสมาธิเพื่อจะตามไปเล่นอะไรมากมายหรอก ดังนั้นการทำสมาธิก็ต้องให้มันสม่ำเสมอ การทำวิปัสสนาก็คือทำสมาธินั่นเองแหละ บางแห่งเขาก็ว่า บัดนี้เราทำสมาธิ ต่อไปเราจึงจะทำวิปัสสนา บัดนี้เราทำสมถะเป็นต้น อย่าให้มันห่างกันอย่างนั้นสิ สมถะนี้แหละคือบ่อเกิดของปัญญา ปัญญานี้ก็คือผลของสมถะ จะไปถือว่าบัดนี้เราทำสมถะ ต่อไปเราจะทำวิปัสสนาอย่างนั้น มันแยกกันไม่ได้หรอก มันจะแยกกันได้ก็แต่คำพูด เหมือนกับมีดเล่มหนึ่งนะ คมมันก็อยู่ข้างหนึ่ง สันมันก็อยู่อีกข้างหนึ่งนั่นแหละ มันแยกกันไม่ได้หรอก ถ้าเราจับด้ามมันขึ้นมาอันเดียวเท่านั้น มันก็ติดมาทั้งคมทั้งสันนั่นแหละความสงบนั้นมันก็ให้เกิดปัญญาในตรงนั้น ให้เข้าใจว่ามันเป็นท่อนฟืนดุ้นเดียวกันนั่นแหละ มันจะมีมาจากไหนล่ะ? มันไม่มีพ่อแม่เกิดมานะ ธรรมะจะเกิดขึ้นที่ไหน? ศีลก็คือพ่อแม่ของธรรมะ นี้คือสงบ หมายความว่า ความผิดทางกายทางใจมันไม่มี เมื่อไม่มีมันก็เป็นศีล และมันก็ไม่เดือดร้อน เพราะมันไม่มีความผิด ทีนี้เมื่อไม่เดือดร้อนความสงบระงับมันก็เกิดขึ้นมานี้ คือจิตเกิดความสงบขึ้นมาแล้วในตัวของมันเอง อันนี้ท่านจึงว่าศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มันเป็นทางของพระอริยเจ้าจะดำเนินเข้าไปสู่พระนิพพาน มันเป็นอันเดียวกันถ้าพูดให้สั้นเข้ามา ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มันเป็นอันเดียวกัน ศีลก็คือสมาธิ สมาธิก็คือศีล สมาธิก็คือปัญญา ปัญญาก็คือสมาธิก็เหมือนมะม่วงใบเดียวกันนั่นแหละ เมื่อมันเป็นดอกขึ้นมามันก็ดอกมะม่วง เมื่อเป็นลูกเล็ก ๆ ก็เรียกว่าผลมะม่วง เมื่อมันโตขึ้นมาก็เรียกว่ามะม่วงลูกโต มันโตขึ้นไปอีกก็เป็นมะม่วงห่าม เมื่อมันสุกก็คือมะม่วงสุก มันก็มะม่วงลูกเดียวกันนั่นแหละ มันเปลี่ยน ๆ ๆ ๆ ไป มันจะโต มันก็โตไปจากเล็ก เมื่อมันเล็กมันก็เล็กไปหาโต จะว่ามะม่วงคนละใบก็ได้ จะว่าใบเดียวกันก็ถูกศีลก็ดี ปัญญาก็ดี มันก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่อย่างนั้น ผลที่สุดแล้วก็ต้องเป็นมรรคเดินทางเข้าไปสู่กระแสของพระนิพพาน มะม่วงตั้งแต่เป็นดอกมาเป็นต้น มันก็ดำเนินไปถึงที่มันสุกก็พอแล้ว นี่ให้เราเห็นเช่นนี้ ถ้าเราเห็นเช่นนี้เราก็ไม่ว่ามัน เขาจะเรียกให้เป็นอะไรก็ช่างมัน เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะแก่จะเป็นอะไรไปก็ตามพิจารณาไปเถอะ บางคนก็ไม่อยากจะแก่ แก่แล้วก็น้อยใจ งั้นก็อย่ากินมะม่วงสุกสิ จะอยากให้มะม่วงสุกทำไมล่ะ? เมื่อมันสุกไม่ทัน เราก็เอาไปบ่มไม่ใช่หรือ? ถึงเราจะแก่ก็ไม่ต้องบ่นน้อยใจ บางคนก็ร้องไห้ กลัวว่ามันจะแก่ตาย ยังงั้นมะม่วงสุกก็ไม่ต้องกินสิ กินดอกมะม่วงดีกว่านะ นี้แหละถ้าเราคิดอย่างนี้ มันก็เห็นธรรมะกระจ่างออกมา เราก็สบาย มีแต่จะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติไปเท่านั้น

ผอ.รพ.พระนั่งเกล้าระบุ"น้องโตมี่"ยังน่าห่วง สัญญาณชีพจรเริ่มอ่อน


นพ.ธวัชชัย วงศ์คงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี กล่าวถึงอาการล่าสุดของ ด.ช.โภคิน ดีผิว หรือน้องโตมี่ อายุ 12 ปี ว่า ขณะนี้อาการยังคงน่าห่วง สัญญาณชีพจรเริ่มอ่อนลงตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ 90/60 ซึ่งแพทย์ได้ให้ยากระตุ้นหัวใจอย่างเต็มที่ และยังไม่มีอาการบ่งชี้ว่าการตอบสนองของสมองจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ญาติได้รับทราบถึงอาการแล้ว และแพทย์ยืนยันจะดูแลรักษาอย่างเต็ม

● 4 ตัวช่วย ในวันที่คุณหมดกำลังใจ ●


“อย่างน้อยก็เหลือหัวใจ ที่มันยังคงเต้นอยู่ บอกให้รู้และเตือนว่าเธอยังหายใจ หกล้มก็ลุกขึ้นยืน เจ็บปวดก็ทนเอาไว้ แม้ว่าเธอไม่เหลืออะไร เหลือเพียงหัวใจดวงนี้ก็เพียงพอแล้ว” เพลง ”หัวใจ” ของ Big Ass หรือถ้าเพลงเก่ากว่านี้ก็คงเป็น “แหล่ะในวันนี้เธอนั้นจงหยัดยืนแหล่ะลุกขึ้นอีกครั้ง ด้วยพลังในหัวใจ อย่าไปยอมแพ้ให้กับปัญหาใดๆ จงพร้อมจะอดทนก้าวไปสู่หนทางที่ฝันใฝ่ด้วยตัวเอง” เพลง “เธอผู้ไม่แพ้” ของพี่เบิรด์ ธงไชย และยังมีอีกหลายๆเพลงที่ให้กำลังใจในยามที่เราสิ้นหวังและท้อแท้ เพราะในความเป็นจริงคงไม่มีใครที่จะเข้มแข็งหรือว่าแข็งแกร่งตลอด 24 ชม. อาจจะมีช่วงที่เกิดอาการท้อใจ จากเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว แต่ในยามที่คุณท้อ ถ้ายิ่งคิดให้มันแย่มันก็เป็นการซ้ำเติมให้ตัวเองหมดกำลังใจ สิ่งที่ทำได้คือคิดในสิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจเพิ่มขึ้น ผมมีข้อมูลมาจากหลายๆตัวอย่างว่าเวลามีปัญหาจะนึกถึงเรื่องอะไร เผื่อคุณผู้อ่านจะได้มีแรงบันดาลใจอะไรใหม่ๆที่คุณอาจจะคิดไม่ถึง * นึกถึงตัวเราเอง อย่างคนนอกมองเข้ามา เป็นคำตอบที่ได้มาเยอะมากที่สุดในการหาข้อมูล การนึกถึงตัวเราเองในที่นี้คิดได้ในหลายแง่ เช่น มองสภาพที่เห็น ให้เป็นไปตามสิ่งที่มันเป็น อย่าเข้าข้างตัวเองเกินไป ทำตัวเป็นคนนอก แล้วดูว่าถ้าเราเป็นคนนอก เราจะคิดอย่างไร และที่สำคัญที่สุด เวลามีปัญหาสิ่งที่ควรจะมีเป็นสิ่งแรกคือสติ ดั่งคำกล่าวที่ว่า สติมาปัญญาเกิด * อยู่กับคนที่เรารัก เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง ผู้มีพระคุณ เพื่อนฝูงหรือคนที่เรารัก ทุกบุคคลที่ยกตัวอย่างมา ในชีวิตของคนเราคงต้องมีซักคนที่กล่าวมาแล้วเกี่ยวข้องในชีวิตของเราและอย่างน้อยน่าจะมีซักคนที่เราคิดถึงหรือนึกถึงในช่วงเวลาที่เรารู้สึกแย่ๆกับปัญหา บางครั้งในขณะที่เราจมอยู่กับปัญหา คำตอบที่เราไม่สามารถหาได้ ทางออกดีๆหรือคำตอบของปัญหาต่างๆอาจจะมาจากคนรอบๆข้างเราก็ได้ เพียงแต่เปิดใจให้กว้างและรับฟังความคิดของคนอื่น การคุยกับเพื่อนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเป็นสิ่งที่ดีในยามที่เรามีปัญหา อย่างน้อยที่สุดการได้ระบายความรู้สึกออกมาก็พอจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายว่ามีคนรับฟังเรา จะได้ไม่รู้สึกว่าโลกนี้มีแต่เราเพียงคนเดียว * ธรรมะ คนหลายๆคนจะนึกถึงธรรมะเมื่อมีปัญหาคงจะไม่ใช่สิ่งผิดที่จะคิดอย่างนั้น เพราะธรรมะเป็นเรื่องของการฝึกจิตใจให้ยอมรับความเป็นไปของโลกนี้ การฝึกนั่งสมาธิไม่ใช่เรื่องยากและยังเป็นที่นิยมในคนยุคใหม่ ถ้าคุณผู้อ่านยังไม่มีโอกาสได้ไปลองหาเวลาไปดูนะครับ อาจจะทำให้ใจที่มันร้อนอยู่ตอนนี้เย็นลงได้ แต่คงจะเป็นการดีกว่าที่เราจะเรียนรู้เรื่องของธรรมะ ตั้งแต่ตอนที่เราไม่มีปัญหาเพื่อจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราเวลาเราต้องเผชิญกับสิ่งร้ายๆที่เข้ามาในชีวิต * ปลง คำๆเดียวง่ายๆ แต่มีความหมาย ยากที่จะทำได้ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะทำ ปลงในที่นี้คือการทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ตัวเราคงจะไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือการทำจิตใจของเราให้ยอมรับสิ่งที่มันเป็นไป ปลงในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต แต่เป็นการปลงเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่และก้าวต่อไป เพื่อเจอกับสิ่งที่ดีกว่าที่จะเข้ามาในชีวิต หัวข้อที่ยกมาให้คุณผู้อ่านเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ยังมีคำตอบอย่างอื่นอีกเช่น คิดถึงอนาคต, คิดถึงสิ่งดีๆในอดีตช่วงเวลามีความสุขกับเพื่อนในวัยเดียวกัน, เอาตัวไปเปรียบกับคนที่แย่กว่า, ไปนั่งร้านข้างถนนดูผู้คน ทำให้คิดได้ว่าชีวิตเราไม่ได้แย่ถึงขั้นสุด, ออกกำลังกายแล้วกิน (ออกกำลังกายให้เหนื่อยจะได้นอนหลับแถมยังดีต่อสุขภาพ กินของอร่อยก็เป็นการเพิ่มช่วงเวลาที่มีความสุขให้กับตัวเอง) สิ่งสำคัญเวลาที่เราหมดกำลังใจคืออย่าคิดว่าเราไม่มีใครและอย่าอยู่คนเดียว เพราะการอยู่คนเดียวอาจจะทำให้เราฟุ้งซ่านได้ แต่ถ้าคุณมีสติเพียงพอนั่นก็ถือว่าเป็นข้อยกเว้น คงจะมีบางคำตอบที่ตรงและโดนใจคุณผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะ

วิธีจัดการอารมณ์ไม่ดี


1. มองโลกในแง่ดี เมื่อเรามีความคิดที่ทำให้ซึมเศร้า เช่น "ฉันทำวิชาเลขไม่ได้" ให้คิดใหม่ว่า
"ถ้าฉันได้รับความช่วยเหลือที่ถูกต้องฉันก็จะทำได้" แล้วไปหาครู ครูพิเศษ หรือให้เพื่อนช่วยติวให้
2. หาสมุดบันทึกสักเล่มไว้เขียนก่อนเข้านอนทุกวัน ในสมุดบันทึกเล่มนี้ ห้ามเขียนเรื่องไม่ดี จงเขียนแต่เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ตอนแรกอาจจะยากหน่อยแต่ให้เขียนเรื่องอย่างเช่น มีคนแปลกหน้ายิ้มให้ ถ้าได้ลองตั้งใจทำ มันจะเปลี่ยนความคิดให้เรามองหาแต่เรื่องดีๆ จากการศึกษาพบว่า คนที่คิดฆ่าตัวตายมีอาการดีขึ้นหลังจากเริ่มเขียนบันทึกเรื่องดีๆ ได้เพียงสองสัปดาห์
3. ใช้เวลาอยู่กับคนที่ทำให้เธอหัวเราะได้
4. ใส่ใจกับความรู้สึกของตนเองในเวลาแต่ละช่วงวัน การตระหนักรู้ถึงอารมณ์ของตัวเองจะทำให้เราจับคู่งานที่เราต้องทำกับระดับ พลังงานในตัวได้อย่างเหมาะสม เช่น ถ้าเรารู้สึกดีที่สุดตอนเช้าแสดงว่าตอนเช้าคือเวลาจัดการกับงานเครียดๆ เช่น ไปเจอเพื่อนที่ทำร้ายจิตใจเรา หรือคุยกับครูที่เราคิดว่าให้เกรดเราผิด ถ้าปรกติเราหมดแรงตอนบ่าย ให้เก็บเวลาช่วงนั้นเอาไว้ทำกิจกรรม ที่ไม่ต้องใช้พลังทางอารมณ์มาก เช่น อ่านหนังสือหรืออยู่กับเพื่อน อย่าทำอะไรเครียดๆ เวลาเหนื่อยหรือเครียด
5. สังเกตอารมณ์ตัวเองในเวลาช่วงต่างๆ ของเดือน ผู้หญิงบางคนพบว่า ช่วงเวลาที่ตัวเองอารมณ์ไม่ดีสัมพันธ์กับรอบเดือน 6. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยให้เราแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ การออกกำลังกายอย่างน้อยแค่วันละ 20 นาที สามารถทำให้รู้สึกสงบและมีความสุขได้ การออกกำลังจะช่วยเพิ่มการผลิตเอ็นดอร์ฟีนของร่างกายด้วย เอ็นดอร์ฟีนเป็นสารเคมีในร่างกาย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกดีและมีความสุขตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งยาเสพติด
7. รู้จักไตร่ตรองแยกแยะ
8. ฟังเพลง งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า จังหวะของเสียงเพลงช่วยจัดระเบียบความคิดและความรู้สึกมั่นคงภายในจิตใจ และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
9. โทรหาเพื่อน การขอความช่วยเหลือทำให้คนเรารู้สึกผูกพันกับคนอื่นและรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง และการโอบกอดช่วยให้ ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีออกมา ซึ่งจะช่วยให้เรารับมือกับอารมณ์ได้
10. อยู่ท่ามกลางคนที่มีความสุข อารมณ์ดีเป็นโรคติดต่อที่แพร่ได้เร็วมา เราจะเลียนแบบสีหน้า การแสดงออก กล้ามเนื้อ ท่าทาง รูปแบบการพูด เพื่อให้เข้ากับคนที่เราอยู่ด้วยโดยที่เราไม่รู้ตัว

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รู้จักวิธีคิด.....ชีวิตเป็นสุข....

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า การศึกษาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมนุษย์รู้จักคิด วิเคราะห์ วิจารณ์อย่างรอบคอบและรอบด้าน จึงจะทำให้เกิดปัญญาแตกฉาน เรียกว่า โยนิโสมนสิการ โดยวิธีการคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 วิธีด้วยกัน คือ
1. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม : ไม่ติดในรูปร่างภายนอกของวัตถุ เมื่อจะอุปโภคบริโภคสิ่งใดก็จะคิดถึงประโยชน์ก่อน หรือเรียกได้ว่าเสพปัจจัยด้วยคุณค่าที่แท้จริง ทำให้ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุ
2. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก : เล็งเห็นว่าทุกสิ่งมีทั้งคุณและโทษ ต้องรู้จักแยกแยะว่าคุณและโทษอยู่ตรงไหน และทางเลือกที่ดีกว่าเป็นอย่างไร
3. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม : คิดหาประโยชน์จากเรื่องต่างๆ จากทั้งแง่ดีและแง่เสียโดยพยายามถือเอาประโยชน์ให้ได้ เช่น เรื่องของความตาย ถ้าเราคิดถึงความตายแล้วเป็นเหตุให้ทำความดีได้ ก็ถือว่าเป็นการปลุกเร้าให้มีความพยายามในการทำความดี ถือว่าเป็นการคิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม

4. วิธีคิดแบบอรรถสัมพันธ์ : เป็นการคิดแบบเชื่อมโยงหลักการกับความมุ่งหมาย อาทิ การกระทำบางอย่างไม่สำเร็จเพราะมิได้วางเป้าหมายให้ชัดเจน หรือบางครั้งเป้าหมายชัดเจนแต่การกระทำไม่สอดคล้องกันจึงไม่สำเร็จ เป็นต้น
5. วิธีคิดแบบอริยสัจ : เป็นการคิดแก้ปัญหาที่สาเหตุ การคิดแบบนี้คล้ายกับการคิดแบบวิทยาศาสตร์ คือ ต้องมีการตั้งปัญหา คิดสมมติฐาน รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคำตอบของปัญหานั้นๆ
6. วิธีคิดแบบสืบสาวหาเหตุและปัจจัย : การคิดพิจารณาสืบค้นหาเหตุและปัจจัย ทำให้รู้ได้ว่าสิ่งที่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุใด และมีปัจจัยใดที่เกี่ยวข้องบ้าง
7. วิธีคิดแบบสามัญลักษณะ : วิธีคิดแบบนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา” นั่นคือรู้ว่าสิ่งต่างๆ มีเกิดขึ้น แปรเปลี่ยน และดับสลายไป เพื่อจะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นและไม่เป็นทุกข์จนเกินไป
8. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในปัจจุบัน : คือ มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่ตลอด เนื่องจากการคิดแบบไม่ยอมอยู่ในปัจจุบัน (การจมอยู่กับอดีตหรือคิดล่วงหน้าไปในอนาคต) จะทำให้เกิดวิตกกังวล หรือเกิดอันตรายได้ เช่น การขับรถ ถ้าขณะขับไม่มีสติอยู่กับตัว ก็อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
9. วิธีคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ : เป็นการคิดแบบแยกย่อยเป็นส่วนๆ เพื่อหาความสอดคล้องสัมพันธ์กันเป็นองค์รวม การคิดแบบนี้จะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น เพราะไม่มองแต่ภาพรวมแต่มองลึกลงไปถึงรายละเอียดด้วย
10. วิธีคิดแบบแยกแยะประเด็น : การคิดแบบแยกแยะประเด็นมีประโยชน์มากในการดำเนินชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรารู้จักแยกแยะหน้าที่ของตนเองก็จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตได้เป็นอย่างดี เช่น ในฐานะที่เป็นนักเรียน ก็ควรที่จะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน โดยแบ่งเวลาเรียนกับเวลาเล่นให้เป็น เป็นต้น

จุดเริ่มต้นของการพัฒนาเยาวชน

ย้อนกลับมายังหัวข้อต่าง ๆ ที่พูดไปแล้ว อาตมาได้เริ่มการมองศาสนาและจริยธรรม ที่เยาวชนโดยสัมพันธ์กับตัวเด็กเอง นี่เป็นจุดเริ่มแรกก่อน การที่เราจะมองเด็กโดยสัมพันธ์กับสังคมไทย หรือสังคมโลกก็ตาม โดยสัมพันธ์กับกาลสมัยใดก็ตาม จุดแรกต้องเริ่มที่ตัวเด็กเองว่า เราจะเอาอย่างไรกับเด็ก ศาสนาและจริยธรรมมีคุณค่าอะไรที่จะให้แก่เด็ก เราจะสร้างเด็กให้มีบุคลิกภาพอย่างไร ให้เขาใช้ชีวิต อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะทำคนให้มีความสุข ไม่เป็นปัญหาแก่ตัวของเขาเอง ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังสังคม ดังที่กล่าวมาแล้ว เหล่านี้เป็นเรื่องของตัวเด็กเอง ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐาน คือ หน้าที่หรือบทบาทชั้นแรกชั้นต้น ของศาสนาและจริยธรรม ที่จะต้องสร้างเยาวชนให้เป็นคนมีคุณภาพ เป็นคนซึ่งพร้อมที่จะอยู่ได้อย่างดีในทุกยุคทุกสมัย และเป็นที่ต้องการของสังคมทุกยุคทุกสมัย ในเวลาที่พูดถึงตัวเด็กเองนี้ การมองจะ สัมพันธ์กับกาลเวลาด้วยในแง่ที่ว่า ไม่ต้องขึ้นกับกาลเวลาในยุคสมัยใด เพราะเด็กที่มีคุณภาพที่ดีอย่างแท้จริงนั้น ถ้าเราผลิตขึ้นมาได้ ก็เป็นเด็กที่อยู่ในยุคสมัยใดก็ได้ ในเรื่องนี้เพื่อความรวบรัด จะขอนำหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาแสดงไว้ หลักธรรมที่เราจะนำมาใช้พัฒนาเยาวชน โดยสัมพันธ์กับตัวของเขาเอง หรือชีวิตของเด็กเองนั้น ได้แก่หลักธรรมชุดที่เรียกว่า รุ่งอรุณของการศึกษา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "แสงเงินแสงทองของชีวิตที่รุ่งเรือง" อาตมาจะต้องขอเน้นย้ำถึงหลัก ธรรมชุดนี้บ่อย ๆ
ที่เรียกว่า แสงเงินแสงทองของชีวิตที่รุ่งเรืองหรือของชีวิตที่ดีงามนี้ ก็เพราะว่าในพระพุทธศาสนาท่านเรียกชีวิตที่ดีงามว่า "มรรค" พระพุทธเจ้าตรัสว่า มรรค คือการดำเนิน ชีวิตที่ดีงามนี้ มีสิ่งที่เป็นตัวนำมาก่อน สิ่งที่นำหน้ามาก่อนที่จะเข้าถึงการดำเนินชีวิตที่ดีงามนี้ ท่านเปรียบเหมือนแสงเงินแสงทอง หรือแสงอรุณ ท่านกล่าวว่า เมื่อพระอาทิตย์จะอุทัยขึ้นมา ย่อมมีแสงเงินแสงทองขึ้นมาก่อน ฉันใด ก่อนที่มรรคจะเกิดขึ้น ก็จะมีธรรม ๗ ประการนำหน้ามาก่อน ฉันนั้น ดังนั้น ธรรม ๗ ประการนั้นจึงเป็นรุ่งอรุณของชีวิตที่ดีงาม หรือชีวิตที่รุ่งเรือง
โดยทั่วไปนั้นเรามักจะมองแต่มรรค คือมองว่า หลัก ธรรมภาคปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา หรือการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ก็คือมรรค แต่ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงมรรคนั้น ทำอย่างไรมรรคจะเกิดขึ้น เราไม่ค่อยมอง ทั้งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว และทรงเน้นไว้บ่อย ๆ ด้วยว่า มีธรรมอยู่ ๗ ประการที่เป็นแสงอรุณของมรรค หรือเป็นตัวชักนำเข้าสู่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง บางทีก็เรียกว่า รุ่งอรุณของการศึกษา ทำไมจึงเรียกว่ารุ่งอรุณของการศึกษา เพราะ สิกขา หรือการศึกษา ก็คือการทำให้คนสามารถดำเนินชีวิตที่ดีนั่นเอง ดังนั้น จึงโยงสิกขากับมรรคเข้าหากันว่า การศึกษาก็คือการฝึกฝนอบรม หรือการพัฒนาคนให้สามารถดำเนินชีวิตตาม มรรค สิกขาสัมพันธ์กับมรรค เราจะเห็นว่า สิกขาก็มี ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคมีองค์ ๘ ประการ ก็สรุปได้เป็น ๓ เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกัน ทำไมจึงซ้ำกัน ก็เพราะว่า ๒ อย่างนี้ ต้องอาศัยกัน มรรคคือการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงาม จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องมีการฝึกให้มีการ ดำเนินชีวิตอย่างนั้น การฝึกให้มีการดำเนินชีวิตอย่างนั้น คือ สิกขา สิกขาก็คือการฝึกคนให้สามารถดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง ดีงามตามมรรค สิกขา มีศีล สมาธิ ปัญญา มรรคก็รวมลงในศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้น ธรรมที่เป็นรุ่งอรุณของมรรค ก็เป็นรุ่งอรุณของสิกขา คือเป็นรุ่งอรุณของการศึกษาด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ธรรมหมวดนี้จึงเรียกว่า รุ่งอรุณของการ ศึกษาก็ได้ เป็นแสงเงินแสงทองของชีวิตที่รุ่งเรืองดีงามก็ได้ เราจะต้องเห็นความสำคัญของหลักธรรมที่เป็นรุ่งอรุณนี้

สู่ความเป็นผู้นำ-ผู้ให้

พอดีเวลาก็จะหมด อาตมาจะขอย้ำไว้แต่เพียงส่วนที่เป็นเรื่องของตัวชีวิตเด็กเองนี้ เป็นจุดเริ่มต้น ส่วนหัวข้อต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้น จะขอข้ามไปก่อน ทั้งในด้านที่เกี่ยวกับสังคมไทย ในด้านที่เกี่ยวกับสังคมโลก และในด้านที่เกี่ยวกับสถานการณ์ของยุคสมัย แต่สิ่งที่จะพูดไว้อย่างหนึ่งก่อนที่จะจบนี้ คือ คนในสังคมไทยในระยะเวลาที่ผ่านมานี้ มีลักษณะหนึ่งซึ่งเป็นที่น่าสังเกต คือ เรามีลักษณะเป็นผู้ตาม หมายความว่า เป็นผู้มีความนิยมวัฒนธรรมตะวันตกมาก เห็นความเจริญของตะวันตกเป็นแบบอย่าง เห็นเขามีอะไรก็จะพยายามตามอย่างนั้น (แต่ตามบริโภค ไม่ใช่ตามผลิต) แล้วพร้อมกับลักษณะที่เป็นผู้ตามนี้ ก็มีลักษณะอีกอย่างหนึ่งพ่วงมาด้วยที่ไม่ค่อยมองกัน คือ ลักษณะของการเป็นผู้รับ ตามและรับ เป็นลักษณะของคนในสังคมไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ใช่หรือเปล่า เราต้องคิดดู ตามเขา เขามีอะไรก็ตาม เขาชอบอะไรก็ตาม เขามีค่านิยมอะไรก็ตาม (ยกเว้นค่านิยมผลิต) เขามีอะไรเกิดขึ้น ก็รับเอามา และรับเอาอย่างนัก บริโภค ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับว่าพลาด ต่อไปนี้เราจะต้องเน้นการสร้างสรรค์สังคมของเรา โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า จะหันเหเบนจากการเป็นผู้ตาม และผู้รับ มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์พัฒนาเยาวชนของเรา ให้เป็นผู้มีลักษณะแห่ง ความเป็นผู้นำและผู้ให้
ที่ว่าเป็นผู้นำและผู้ให้ นั้น เรามองเรื่องนี้โดยสัมพันธ์กับสังคมมนุษย์ทั้งหมด คือทั้งโลกว่า ในประชาคมโลกนี้ทำอย่างไรคนในสังคมไทยเราจึงจะเป็นผู้นำ จะนำด้านใดด้านหนึ่ง วิชาการด้านใดด้านหนึ่ง หรือแนวความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งอะไรก็ตาม ต้องนำเขาได้บ้าง ต้องมีอะไรที่จะให้เขาบ้าง และต้องเป็นผู้ให้อะไรแก่เขาได้บ้าง อย่างที่เรียกว่าเป็นผู้มีส่วนร่วม ในการสร้างสรรค์อารยธรรมของโลกมนุษย์ เราจะต้องมาพิจารณาตัวเราเองให้มาก เท่าที่ผ่านมา สังคมไทยได้มีส่วนอะไรบ้าง ในการสร้างสรรค์อารยธรรมของโลก ในการทำให้โลกเจริญขึ้นมา ถ้าโลกที่แล้วมาเจริญผิด ก็ดีไป เราจะได้ไปช่วยแก้ไข ตอนนี้เป็นโอกาสของเราว่าเราจะช่วยแก้ไขปัญหาของโลก มีส่วนร่วมสร้างสรรค์พัฒนาสังคมของโลกในทางที่ดีงาม ถ้าเราไม่มีจุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว เราจะพัฒนาสังคมไปอย่างเลื่อนลอย สะเปะ สะปะ เราจะต้องมีความมุ่งมั่นสักอย่างหนึ่ง จะต้องเป็นสังคม ที่พัฒนาโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน และพยายามสร้างจิตสำนึกในแนวนั้นขึ้นมาให้เป็นจิตสำนึกของสังคมและของชาติ
เมื่อพิจารณาดูลักษณะสังคมของไทย ถ้าเรายอมรับว่าเราเป็นผู้ตาม และผู้รับแล้ว ก็ขอให้เรามาสร้างจิตสำนึกกันใหม่ มากระตุ้นเร้ากันว่า เราจะต้องพยายามเป็นผู้นำและเป็นผู้ให้ ต่อไปเยาวชนของเราจะต้องมีบุคลิกภาพ แนว ความคิด จิตใจ และลักษณะของความเป็นผู้นำ และเป็นผู้ให้ เริ่มตั้งแต่ในชุมชนเล็ก ๆ ให้มีลักษณะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้ความร่วมแรง ร่วมงาน ร่วมมือ ร่วมใจ ซึ่งขณะนี้เรากำลังเป็นปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ความมีน้ำใจกำลังจะหมดไป การร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมงานกันไม่มี ทำกิจการและกิจกรรมร่วมกันไม่ได้ รวมทั้งการร่วมสุขร่วมทุกข์ กว้างออกไป ก็มีความคิด มีสติปัญญา มีความเจริญทางวิชาการ เป็นต้น เรียก สั้น ๆ ว่า มีภูมิธรรมภูมิปัญญาที่จะนำเขา ที่จะให้แก่ผู้อื่นจนถึงชุมชนโลก ดังที่บอกเมื่อครู่ว่า ชาติไทยของเรามีอะไรเป็นส่วนร่วม ที่จะให้แก่อารยธรรมของมนุษย์บ้าง เพื่อว่าเราจะได้มีความภูมิใจในสังคมของตนเองขึ้นมาได้บ้าง ไม่ใช่มีแต่ ความรู้สึกเป็นผู้ตาม ซึ่งในจิตสำนึกลึก ๆ นั้นก็คือความเป็นผู้ด้อย ในความเป็นผู้ตาม และผู้รับนั้น ในส่วนลึกของจิตใจ จะมีความเป็นผู้ด้อยอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความภูมิใจในตัวเอง อย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้น จะต้องพยายามเปลี่ยนแนวทางของ ชีวิตและสังคมกันใหม่ สร้างจิตสำนึกกันใหม่ เพื่อให้ชีวิตของเด็กและเยาวชนนั้นพัฒนาสู่ความสมบูรณ์
ตามที่อาตมากล่าวมาทั้งหมดนี้ เมื่อสรุปแล้วก็รวม อยู่ที่การสร้างสรรค์ชีวิตเพื่อให้เข้าถึงองค์ประกอบ ๓ ประการของชีวิตที่สมบูรณ์ เมื่อใดเราพัฒนาชีวิตให้ประกอบด้วยองค์ ๓ แล้ว ก็จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ องค์ ๓ คืออะไรบ้าง ในการที่จะพัฒนาตัวเด็ก ให้มีรุ่งอรุณของการศึกษา ตลอดจน ดำเนินชีวิตตามมรรคนั้น เราต้องการให้เข้าถึงองค์ ๓ ประการนี้ ซึ่งประกอบกันเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ กล่าวคือ
๑. ในการพัฒนาคนนั้น แก่นแท้ก็คือการพัฒนา ปัญญาให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ปัญญาที่รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ในขั้นสูงสุดก็คือรู้สัจจ-ธรรม นี่คือเป้าหมายในการพัฒนา คือมีปัญญารู้สัจจธรรม เป็นเป้าหมายใหญ่ เป็นองค์ประกอบใหญ่
๒. เมื่อรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงแล้ว เราก็ ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้ถูกต้อง สภาพที่เป็นปัญหาก็เพราะเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อมันอย่างไร เมื่อเรารู้จักชีวิตรู้จักโลกตามความเป็นจริง เราก็ปฏิบัติต่อชีวิต และต่อโลกอย่างถูกต้อง การปฏิบัติต่อชีวิต หรือดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง และปฏิบัติต่อโลกอย่างถูกต้อง หรือต่อประสบการณ์ถูกต้องนี้ คือ จริยธรรม
๓. เมื่อเราปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง หรือดำเนินชีวิตถูกต้อง ปฏิบัติต่อโลก ต่อประสบการณ์ทั้งหลายถูกต้อง ก็นำไปสู่ผล คือการแก้ปัญหาได้สำเร็จ เป็นอันว่า เริ่มแรกรู้จักสิ่งต่าง ๆ ถูกต้อง แล้วปฏิบัติได้ถูกต้อง นำสู่ผลเบื้อง ปลาย คือแก้ปัญหาได้ เมื่อแก้ปัญหาได้ ก็มีความสุขใน ระดับขั้นต่าง ๆ จนถึงภาวะอันสูงสุด หมดปัญหาหมดความทุกข์ ถึงภาวะที่สิ่งทั้งหลายไม่เกิดเป็นปัญหา ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น ก็เกิดความเป็นอิสรภาพ สันติสุขก็เกิดขึ้นเป็นองค์ประกอบองค์ที่ ๓
โดยสรุป องค์ประกอบ ๓ ประการคือ
๑. มีปัญญารู้สัจจธรรม จึงทำให้
๒. มีการปฏิบัติที่เป็นจริยธรรม แล้วก็
๓. เข้าถึงอิสรภาพ มีสันติสุข
นี้คือองค์ประกอบของชีวิตที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของการสร้างสรรค์พัฒนาเยาวชน นี้คือสิ่งที่อาตมาได้นำมาเสนอในวันนี้ ซึ่งส่วนมากได้เน้นในแง่ที่หนึ่ง คือมองเยาวชนโดยสัมพันธ์กับตัวของเขาเอง เน้นที่การพัฒนาชีวิตของเขาว่าจะให้เขาเป็นคนอย่างไร มีบุคลิกภาพอย่างไร มีคุณสมบัติอะไร ไปสู่จุดหมายอะไรของชีวิต ทั้งนี้โดยคำนึงถึงพระพุทธพจน์ที่ว่า ปุตฺตา วตฺถุ มนุสฺสานํ เด็กทั้งหลายเป็นที่รองรับไว้ซึ่งมนุษยชาติ การที่เราทั้งหลายมองเห็นความสำคัญของเยาวชนนี้นับเป็นนิมิตหมายที่ดี ดังที่ได้มีกิจกรรม ที่เป็นการส่งเสริมจริยธรรมของเด็กและเยาวชนในวันนี้ ขอให้กิจกรรมในวันนี้จงนำไปสู่กิจกรรมสืบเนื่องที่เป็นความเจริญยิ่งขึ้นต่อไป คือการปฏิบัติหรือลงมือทำ โดยอิง อาศัยการช่วยกันคิดพิจารณาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในทางสร้างสรรค์
ขอเอาใจช่วยให้การประชุมสัมมนาครั้งนี้ สำเร็จลุล่วงเกิดผลประโยชน์สมความมุ่งหมาย และขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย อวยชัยให้พร ให้ทุกท่านประสบจตุรพิธพรชัย มีความร่มเย็นเป็นสุข พรั่งพร้อมด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา ในการบำเพ็ญประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านให้สำเร็จ โดยทั่วกันทุกท่าน เทอญ

ดับทุกข์ด้วยความคิด “โยนิโสมนสิการ”


ดับทุกข์ด้วยความคิด “โยนิโสมนสิการ” โดย ธรรมธร โยนิโสมนสิการ เป็นคำบาลีมีในพระไตรปิฎก แม้จะเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ แต่ก็เป็นธรรมะที่เป็นกลางฟังไว้ก็นำไปใช้ได้ในทุกชาติศาสนา เพราะไม่ต้องยึดมั่นว่าใครเป็นคนสอน โยนิโสมนสิการแปลตรงๆ ว่า “การพิจารณาโดยแยบคาย” อาจจะแปลง่ายๆ ว่า การคิดให้เกิดปัญญาดับทุกข์ หรือการคิดที่นำไปสู่กุศล ทำนองนี้ก็ได้
พระพุทธองค์ได้กล่าวถึง “โยนิโสมนสิการ” ไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นองค์ (องคคุณ) อื่นแม้ข้อหนึ่งที่เป็นองค์ภายในของภิกษุผู้ยังศึกษา ผู้ยังไม่ได้บรรลุอรหัตตผล ปราถนาธรรมอันเกษม จากโยคะอันยอดเยี่ยม อันเป็นองค์ที่มีอุปการะมาก เหมือนโยนิโสมนสิการนี้เลย” หมายความว่ามีประโยชน์มาก
การคิดให้เกิดปัญญาดับทุกข์ ไม่ใช่ของทำได้ง่ายๆ บางครั้งจะคิดออกได้ก็จะได้ต้องมีเพื่อนที่ดีช่วยแนะนำที่เรียกว่า กัลยาณมิตร บางคนก็คิดออกเอง บางคนคิดไม่ออก และเมื่อความทุกข์นำมาจะนำไปสู่ความตกต่ำได้อย่างที่สุด
ความทุกข์แบ่งเป็นทุกข์กายกับใจ ทุกข์กาย คือ ป่วยเจ็บ ทุกข์ใจ คือจิตใจที่ตามมาจากการป่วยเจ็บ รวมทั้งการพลัดพรากจากของรัก การได้พบกับสิ่งที่ไม่ปารถนา ประการต่างๆ ในชีวิตจริงความทุกข์เกือบทั้งหมดมาจากใจ ดังนั้นต้องแก้ที่ใจด้วยโยนิโสมนสิการ ตามตำราวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการทำได้หลายอย่าง เช่น วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ วิธีคิดแบบรู้เท่าทัน วิธีคิดแบบแก้ปัญหาอริยสัจในทางปฏิบัติ ขอเสนอแนะอย่างนี้ครับ เมื่อไรที่ประสพทุกข์ ไม่ต้องตัดพ้อว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา ให้คิดว่าจริงแล้วทุกคนต้องเจอสุขบ้างทุกข์บ้าง แต่คราวนี้ถึงคราวของเราแล้ว ก็แล้วกัน อาจจะเป็นกรรมที่เราทำมาในอดีตชาติก่อน หรืออาจจะโดยบังเอิญก็แล้วแต่ แต่ให้ต้อนรับความทุกข์นั้นด้วยใจที่มั่นคง คิดไว้ว่าเกิดเป็นคนอย่ากลัวทุกข์ และคิดไว้เสมอว่าไม่มีอะไรที่จะมีแง่เดียว สิ่งที่เราคิดว่าทุกข์ก็ต้องมีคุณประโยชน์มหาศาลซ่อนอยู่เสมอ ถ้ารู้จักใช้เพียงแต่เราอาจจะยังไม่พบเท่านั้นเอง
ท่านพุทธทาสภิกขุถึงกับกล่าวไว้ว่า “พระพุทธเจ้าอยู่หลังม่านแห่งความทุกข์” หมายความว่าเมื่อทุกข์เพียงแต่เปิดม่านจะเข้าถึงพระพุทธองค์ บางคนไม่มีทุกข์ ก็ไม่มีม่านให้เปิด ก็เลยไม่ได้เข้าถึงพระองค์หมายถึงไม่ได้เข้าถึงธรรมและความดี
ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่หมอรู้จัก เป็นมะเร็งเต้านม มีความทุกข์ใจมาก ต้องได้รับการผ่าตัดนำเต้านมออกและรับเคมีบำบัด บางคนผมร่วง บางคนต้องฉายแสงและโทรมมาก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือท่านเหล่านั้นต่างก็มาถือศีลตลอดชีวิต บางคนถึงกับได้บวชชีพราหมณ์ บางคนปล่อยนกปล่อยปลาเป็นประจำ จิตใจต่างก็เปลี่ยนไปในทางดี ที่เป็นครูแล้วดุก็เปลี่ยนเป็นไม่ดุ ที่ไม่เมตตาก็เมตตาขึ้นมา ที่ไม่เข้าวัดก็ได้เข้าวัด ที่ไม่สวดมนต์ก็ได้สวดมนต์ บางคนสวดมนต์ยาวๆ ทุกคืน บางคนหันมาเอาใจใส่ลูกและครอบครัวมากกว่าเดิม
มะเร็งชนิดนี้กว่าจะเป็นซ้ำหรือตายอาจจะอีก 10-20 ปี เมื่อได้รับการบรักษาที่ดีแต่เนิ่นๆ ซึ่งก็ทำให้ชีวิตช่วง 20 ปีหลังได้ทำความดีอย่างมหาศาล เพื่อนบ้านที่ซุบซิบนินทาว่าร้าย บางคนก็ตายไปก่อนโดยไม่ได้ทำความดีอะไร แต่คนเป็นมะเร็งที่เป็นเป้านินทาก็ยังไม่ตาย หลังๆ ก็มีความสุขทำใจได้ เข้าถึงธรรมมากกว่า และ มั่นใจในความดีจนไม่กลัวความตายเลย จนพูดได้ว่า เป็นมะเร็งแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ดีกว่าตายแบบไม่ได้เตรียมตัวตั้งแยะ
การแก้ปัญหาด้วยโยนิโสมนสิการมีหลักง่ายๆ ว่า ต้องมีสติ มีใจที่สงบก่อน ดังนั้นเมื่อทุกข์ให้หาที่สงบจิตใจ อาจจะเป็นวัด โบสถ์ วิหาร มัสยิด ทุ่งนาป่าเขา หรือแม้แต่ห้องพระในบ้านของเรา อาจจะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิหรือนั่งให้ใจสงบ หรือแม้แต่อ้อนวอนขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงให้ใจเราสงบขึ้น แล้วคิดว่าสิ่งที่เราพบว่าทำให้เราทุกข์นี้ สามารถนำสิ่งที่ดีมีความสุขอย่างไรให้เราได้บ้างหรือไม่ เพราะแม้แต่ขยะที่น่ารังเกียจยังถูกนำมาใช้เป็นปุ๋ยที่ยอดเยี่ยมได้ ถ้าเราไม่สามารถคิดออกได้ในตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะใจไม่สงบพอ ให้ค่อยๆ ทำใหม่หรือให้ปรึกษาผู้ที่คิดว่าจะแนะนำสิ่งที่ดีให้กับเราได้ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรของเรา
หมอเคยดูแลผู้ป่วยเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ได้แต่นอนบนเตียงรอความตายอย่างช้าๆ มีอยู่คนหนึ่งหลังจากที่ได้คุยกันหลายครั้ง เขาก็บอกหมอว่า เขาพร้อมที่จะตายได้แล้ว และมั่นใจว่ามีความดีพอที่จะไปสุคติแน่ๆ ที่ยังไม่สบายใจอยู่อย่างเดียวในตอนนี้ก็คือเขาเป็นภาระให้ลูกเมียลำบากคือไม่ตายสักทีและอาจจะอยู่ไปอีกนานก็ได้
หมอก็บอกเขาว่า การที่ลูกเมียได้ดูแลคุณอย่างนี้ก็เป็นการทำบุญสร้างบารมีของเขาเหมือนกัน โดยเฉพาะลูกได้ดูแลพ่อแม่ที่ป่วยอย่างนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ลูกจำนวนมากก็ไม่มีโอกาสได้ทำ และเขาจะได้บุญมากเพราะคุณคือพระอรหันต์ของลูก คุณคือเนื้อนาบุญของเขา ผู้ป่วยผู้นี้แช่มชื่นขึ้นทันที แล้วพูดว่า จริงสินะผมไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย ตอนเด็กๆ ผมก็ยังไม่ได้ดูแลพ่อแม่ตอนป่วยเลย นับว่าลูกมันโชคดีกว่าผมอีก ในงานนี้นับว่าหมอได้มีโอกาสเป็นกัลยาณมิตรของเขา ซึ่งหมอก็หวังว่าด้วยอานิสงส์นี้ เมื่อเราลำบากมีความทุกข์มากคิดไม่ออก ก็ขอให้ได้เจอกัลยาณมิตรดีๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะในบางครั้งเมื่อผงเข้าตาตนเอง ก็ไม่ใช่ว่าตนเองจะเขี่ยออกได้
บางคนเสียสิ่งของไป แต่ไม่นานก็ได้ของที่ดีกว่า บางคนสามีทิ้งไป แต่ก็ได้อิสรภาพและความสุขที่มากกว่า แม้กระทั่งได้สามีใหม่ที่ดีกว่า บางคนตกงานต่อมาก็ได้งานที่ดีกว่า หมอรุ่นน้องบางคนจับสลากได้ไปทำงานต่างจังหวัดไกลๆ ร้องห่มร้องไห้มากมาย พบว่าต่อมาไปได้คู่ชีวิตที่นั่น นั่นคือต้องไปตรงนั้นเพราะเนื้อคู่เขาอยู่ตรงนั้น บางคนเจ็บป่วยจนพิการแต่ก็ได้ชีวิตที่เป็นบุญกุศลแบบไม่เสียชาติเกิด และบางคนได้เข้าถึงธรรมะได้ปฏิบัติธรรมะ ได้เปิดม่านพบพระพุทธองค์ ก็เพราะความทุกข์นั่นเอง
ฝึกจิตใจให้คิดหาสิ่งดี คิดแต่ของดี มองโลกในแง่ดี ด้วยโยนิโสมนสิการนะครับ จะนำความสุข ความก้าวหน้ามาสู่ตัวเราและคนรอบตัว

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติและวิธีการทำฝนหลวง


"...แต่มาเงยดูท้องฟ้า มีเมฆ ทำไมมีเมฆอย่างนี้ ทำไมจะดึงเมฆนี่ลงมาให้ได้ก็เคยได้ยินเรื่องการทำฝน ก็มาปรารภกับคุณเทพฤทธิ์ ฝนทำได้มี มีหนังสือ เคยอ่านหนังสือทำได้..."
โครงการพระราชดำริฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ที่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภค และเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งซึ่งมีสาเหตุมาจาก ความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝนเริ่มต้นล่าเกินไป หรือหมดเร็วกว่าปกติหรือฝนทิ้งช่วงยาวในช่วงฤดูฝน จากพระราชกรณียกิจ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอนับแต่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ จนตราบเท่าทุกวันนี้ ทรงพบเห็นว่าภาวะแห้งแล้ง ได้ทวีความถี่ และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ เพราะนอกจากความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแล้ว การตัดไม้ทำลายป่า ยังเป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร ในทุกภาคของประเทศ ทำความเสียหายแก่เศรษฐกิจโดยรวมของชาติเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี
ตามเส้นทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน ทั้งภาคพื้นดิน ทางอากาศยานดังกล่าว ทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆปริมาณมากปกคลุมท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกัน จนเกิดเป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงระยะยาวทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคำนึงว่า น่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ ทรงเชื่อมั่นว่า ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเขตร้อน และอยู่ในอิทธิพลของฤดูมรสุมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นฤดูฝน และเป็นฤดูเพาะปลูกประจำปีของประเทศไทย จะสามารถดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดเป็นฝนตกได้ อย่างแน่นอน
ตามที่ทรงเล่าไว้ใน
RAINMAKING STORY จาก พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา ทรงศึกษาค้นคว้า และวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และมีการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งทรงรอบรู้ และเชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับทั้งใน และต่างประเทศ จนทรงมั่นพระทัย จึงพระราชทานแนวคิดนี้แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น ในปีถัดมา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการในท้องฟ้าให้เป็นไปได้
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบิน ปราบศัตรูพืชกรมการข้าว และพร้อมที่จะให้การสนับสนุน ในการสนองพระราชประสงค์ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบว่า พร้อมที่จะดำเนินการ ตามพระราชประสงค์แล้ว ดังนั้นในปีเดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการ และหัวหน้าคณะปฏิบัติการทดลอง เป็นคนแรก และเลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองเป็นแห่งแรก โดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้ง (dry ice หรือ solid carbondioxide) ขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทำให้กลุ่มเมฆ ทดลองเหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ของเมฆอย่างเห็นได้ชัดเจน เกิดการกลั่นรวมตัวกันหนาแน่น และก่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ ในเวลาอันรวดเร็วแล้วเคลื่อนตัวตามทิศทางลม พ้นไปจากสายตา ไม่สามารถสังเกตได้ เนื่องจากยอดเขาบัง แต่จากการติดตามผลโดยการสำรวจทางภาคพื้นดิน และได้รับรายงานยืนยันด้วยวาจาจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่ทดลองวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด นับเป็นนิมิตหมายบ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
วิธีการทำฝนหลวง
1. เทคโนโลยีฝนหลวง เทคโนโลยีฝนหลวงเป็นเทคนิค หรือ วิชาการที่เกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพอากาศ โดยเน้นการทำฝน เพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก (Rain enhancement) และ/หรือ เพื่อให้ฝนตกกระจายอย่างสม่ำเสมอ (Rain redistribution) สำหรับป้องกันหรือบรรเทาภาวะแห้งแล้งที่เกิดจากฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงนั้น เป็นวิชาการที่ใหม่สำหรับประเทศไทยและของโลก ข้อมูลหลักฐาน (evidence) ที่ใช้พิสูจน์ยืนยัน เพื่อให้เกิดการยอมรับในระดับนักวิชาการและผู้บริหารระดับสูง ถึงผลปฏิบัติการฝนหลวงทั้งทางด้านกาย -ภาพ (Physic) และด้านสถิติ (Statistic) มีน้อยมาก ดังนั้น ในระยะแรกเริ่มของการทดลองและวิจัย กรรมวิธีการปฏิบัติการฝนหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงติดตามผลการวางแผนการทดลองปฏิบัติการ การสังเกตจากรายงานแทบทุกครั้งโดยใกล้ชิด ทรงหาความรู้และประสบการณ์จากนักวิชาการที่ทรงคุณวุฒิทางด้านอุตุนิ-ยมวิทยา โดยได้รับสั่งให้เชิญ พล.ร.ท.สนิท เวสารัชนันท์ ร.น. อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา พล.ร.ต.พิณ พันธุทวี ร.น. พร้อมด้วยนักวิชาการอื่นๆ มาเป็นคณะทำงานถวาย -ความคิดเห็น วิเคราะห์ผลปฏิบัติการที่ทางคณะปฏิบัติการฝนหลวง ได้ทดลองสังเกตผลการเปลี่ยนแปลงแล้ว ทำรายงานเสนอเป็นประจำ
2. กรรมวิธีการทำฝนหลวง กรรมวิธีการทำฝนหลวงในประเทศไทยที่ใช้เป็นหลักในปัจจุบัน สรุปได้ ดังนี้
ขั้นตอนที่หนึ่ง : ก่อเมฆ
เป็นการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเกิดเมฆ โดยการโปรยสารเคมีผลละเอียดของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดับความสูง 7,000 ฟุต ในท้องฟ้าโปร่งใสที่มีความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ผงของเกลือโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดี จะทำหน้าที่เสริมประสิทธิภาพของแกนกลั่นตัวในบรรยากาศ (Cloud Condensation Nuclei) เรียกย่อว่า CCN ทำให้กระบวนการดูดซับความชื้นในอากาศให้กลายเป็นเม็ดน้ำเกิดเร็วขึ้นกว่าธรรมชาติ และเกิดกลุ่มเมฆจำนวนมาก ซึ่งเมฆเหล่านี้จะพัฒนาเป็นเมฆก้อนใหญ่ในเวลาต่อมา
ขั้นตอนที่สอง : เลี้ยงให้อ้วน
เป็นการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่งหรือเสริมการเพิ่มขนาดของเมฆและขนาดของเม็ดน้ำในก้อนเมฆ จะปฏิบัติการเมื่อเมฆที่ก่อตัวจากขั้นตอนที่ 1 หรือเมฆเดิมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ก่อยอดสูงถึงระดับ 10,000 ฟุต โดยการโปรยสารเคมีผลแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2) เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต ผงแคลเซี่ยมคลอไรด์ซึ่งมีคุณสมบัติดูดความชื้นได้ดี จะดูดซับความชื้นและเม็ดน้ำขนาดเล็กในก้อนเมฆให้กลายเป็นเม็ดน้ำขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันจะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของสารแคลเซี่ยมคลอไรด์เมื่อละลายน้ำ ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเพิ่มอัตราเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้น (Updraft) ในก้อนเมฆ ทั้งขนาดเม็ดน้ำที่โตขึ้นและความเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้นที่เพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยเร่งกระบวนการชนกันและรวมตัวกัน (Collision and coalescence process) ของเม็ดน้ำ ทำให้เม็ดน้ำขนาดใหญ่จำนวนมากเกิดขึ้นในก้อนเมฆ และยอดเมฆพัฒนาตัวสูงขึ้น ในขั้นนี้ เมฆจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและก่อยอดสูงขึ้นไปได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการทรงตัวของบรรยากาศในแต่ละวัน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ในบางวันเมฆจะไม่สามารถก่อยอดสูงเกินระดับอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง ( 0 องศาเซลเซียส) หรือประมาณ 18,000 ฟุต เรียกว่า เมฆอุ่น (Warm Cloud) ในบางวันเมฆจะสามารถก่อยอดขึ้นไปสูงกว่าระดับอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง เช่น ถึงระดับ 20,000 ฟุต เรียกว่า เมฆเย็น (Cold Cloud) ซึ่งภายในยอดเมฆจะประกอบด้วยเม็ดน้ำเย็นจัด (Super cooled droplet) ที่มีอุณหภูมิต่ำถึง - 8 องศาเซลเซียส
ขั้นตอนที่สาม : โจมตี
เป็นการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่งให้เมฆเกิดเป็นฝน ซึ่งสามารถกระทำได้ 3 วิธี ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเมฆ และชนิดของเครื่องบินที่มีอยู่ ดังนี้
วิธีที่ 1 \"โจมตีเมฆอุ่น แบบแซนด์วิช\"
ถ้าเป็นเมฆอุ่น เมื่อเมฆแก่ตัว ยอดเมฆจะอยู่ที่ระดับ 10,000 ฟุต หรือสูงกว่าเล็กน้อย และเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย จะทำการโจมตีโดยวิธี Sandwich คือ ใช้เครื่อง บิน 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งโปรยผงโซเดียมคลอไรด์ (Nacl) ทับยอดเมฆ หรือไหล่เมฆที่ระดับ 9,000 ฟุต หรือ ไม่เกิน 10,000 ฟุต อีกเครื่องหนึ่งโปรยผงยูเรีย (Urea) ที่ฐานเมฆ ทำมุมเยื้องกัน 45 องศา เมฆจะเริ่มตกเป็นฝนลงสู่พื้นดิน
วิธีที่ 2 \"โจมตีเมฆเย็น แบบธรรมดา\"
ถ้าเป็นเมฆเย็นและมีเครื่องบินเมฆเย็นเพียงเครื่องเดียว เมื่อเมฆเย็นพัฒนายอดสูงขึ้นเลยระดับ 20,000 ฟุต ไปแล้ว จะทำการโจมตีโดยการยิงพลุสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ยอดเมฆ ที่ระดับความสูงประมาณ 21,500 ฟุต ซึ่งมีอุณหภูมิระหว่าง -8 ถึง 12 องศาเซลเซียส มีกระแสอากาศไหลขึ้นสูงกว่า 1,000 ฟุตต่อนาที และมีปริมาณน้ำเย็นจัดไม่ตำกว่า 1 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นเงื่อนไขเหมาะสม อนุภาคของสาร Agl จะทำหน้าที่เป็นแกนเยือกแข็ง (Ice Nuclei) และเมื่อสัมผัสกับเม็ดน้ำเย็นจัดในบอดเมฆ จะทำให้เม็ดน้ำเหล่านั้นกลายเป็นน้ำแข็งและคายความร้อนแฝงออกมา ซึ่งความร้อนดังกล่าวจะเป็นพลังงานผลักดันให้ยอดเมฆเจริญสูงขึ้นไปอีก และมีการชักนำอากาศชื้นเข้าสู่ฐานเมฆเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันเม็ดน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง จะมีความดันไอที่ผิวต่ำกว่าเม็ดน้ำเย็นจัด ทำให้ไอน้ำระเหยจากเม็ดน้ำไปเกาะที่เม็ดน้ำแข็ง และเม็ดน้ำแข็งจะเจริญเติบโตได้เร็วเป็นก้อนน้ำแข็งที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และจะล่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง ซึ่งจะละลายเป็นเม็ดน้ำฝน เมื่อผ่านชั้นอุณหภูมิเยือกแข็งลงมาที่ฐานเมฆ และเกิดเป็นฝนตกลงสู่พื้นดิน
วิธีที่ 3 \"โจมตีเมฆเย็น แบบซูเปอร์แซนด์วิช\"
หากเป็นเมฆเย็น และมีเครื่องบินครบทั้งชนิดเมฆอุ่นและเมฆเย็น เมื่อเมฆเย็นพัฒนายอดสูงขึ้นเลยระดับ 20,000 ฟุต ไปแล้ว จะทำการโจมตีโดยการผสมผสานวิธีที่ 1 และ 2 ในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ เครื่องบินเมฆเย็นจะยิงพลุสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ยอดเมฆ ที่ระดับความสูงประมาณ 21,500 ฟุต ส่วนเครื่องบินเมฆอุ่น 1 เครื่อง จะโปรยสารเคมีโซเดียมคลอไรด์ที่ระดับไหล่เมฆ (ประมาณ 9,000 - 10,000 ฟุต) และเครื่องบินเมฆอุ่นอีก 1 เครื่อง จะโปรยสารเคมีผงยูเรียที่ระดับชิดฐานเมฆ ทำมุมเยื้องกัน 45 องศา วิธีการนี้จะทำให้ประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้น และเทคนี้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกชื่อว่า SUPER SANDWICH
ขั้นตอนที่สี่ : เพิ่มฝน
การโจมตีเมฆในขั้นตอนที่ 3 ทั้งสามวิธี อาจจะทำให้ฝนใกล้จะตกหรือเริ่มตกแล้ว ขั้นตอนที่ 4 นี้ จะเร่งการตกของฝนและเพิ่มปริมาณน้ำโดยการโปรยเกล็ดน้ำแข้งแห้ง (Dry ice) ที่ระดับใต้ฐานเมฆประมาณ 1,000 ฟุต เกล็ดน้ำแข็งแห้งซึ่งมีอุณหภูมิต่ำถึง -78 องศาเซลเซียส จะปรับอุณหภูมิของบรรยากาศระหว่างฐานเมฆกับพื้นดินให้เย็นลง ทำให้ฐานเมฆยิ่งลดระดับต่ำลง ฝนจะตกในทันที หรือที่ตกอยู่แล้ว จะมีอัตราการตกของฝนสูงขึ้น ลดอัตราการระเหยของเม็ดฝนขณะล่วงหล่นลงสู่พื้นดิน และทำให้ฝนตกต่อเนื่องเป็นเวลานานขึ้นและหนาแน่นยิ่งขึ้น
3. กรรมวิธีการทำฝนหลวง
การออกปฏิบัติการแต่ละครั้ง จะดำเนินการเมื่อได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มเกษตรกร, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือประสานงานโดยตรงกับคณะปฏิบัติการฝนหลวง• ภาคเหนือ สนามบิน จ.แพร่, สนามบิน จ.เชียงใหม่ • ภาคอีสาน สนามบินกองบิน 1 จ.นครราชสีมา, สนามบิน จ.ขอนแก่น • ภาคกลาง สนามบินกองบิน 2 จ.ลพบุรี, สนามบินกองบิน 4 จ.นครสวรรค์ • ภาคใต้ตอนบน สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน, สนามบินค่ายธนัรัตน์ อ.ปราณบุรี หรือสนามบินกองบิน 53 จ.ประจวบคีรีขันธ์โดยพิจารณาหลักเกณฑ์ ดังนี้• จำนวนพื้นที่พืชผลทางเกษตรกรรม จะต้องไม่น้อยกว่า 200,000 ไร่ • ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบถึงพืชผลทางเกษตรกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง และไม่ต้องการน้ำ

===> หลุมดำ สัตว์ร้ายในอวกาศ <===


ความเวิ้งว่างเปล่าเหนือหัวคนเราขึ้นไปนั้น เป็นเอกภพมหามหึมาอันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเหลือสติปัญญาที่จะหยั่งคะเนได้ สถานที่อันไร้อาณาเขตนี้นั้นก็ประกอบด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ที่คุมกันหลวมๆ เป็นจักรวาลและจักรวาลน้อยใหญ่ก็มีอยู่เหลือคณานับ เคลื่อนคล้อยในเอกภพอันไร้ขอบเขตด้วยจำนวนอันไร้ปริมาณ ธรรมชาติมิได้สร้างความเรียบร้อยสวยงามให้ปรากฏขึ้นอย่างเดียว แต่ธรรมชาตินี่แหละที่ก็ได้สร้างความเหี้ยมเกรียม ความหายนะให้เกิดควบคู่กันไปด้วย ใครจะคิดได้ว่า อันดวงดาวทั้งปวงที่เห็นดารดาษบนท้องฟ้านั้น คืออาหารอันโอชะของเจ้าสัตว์ร้ายพวกหนึ่งที่คอยจ้องเขมือบดาวเหล่านี้ให้สูญหายไป ตราบใดก็ตามที่ดาวน้อยใหญ่ทั้งหลายเผลอเรอหลงเข้าไปในแวดวงที่มัน “อาศัย” อยู่?
สัตว์ร้ายที่ว่านี้ นักวิทยาศาสตร์บนดาวเล็กๆ ดวงที่เรียกว่าโลกนี้เขาตั้งชื่อมันเอาไว้ว่า “แบล็ค โฮล” หรือแปลกันง่ายๆ คือ “หลุมดำ”

ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับแต่ปี พ.ศ. 2513 นั้น นักวิทยาศาสตร์สาขาดาราศาสตร์ทั้งหลายก็พากันบอกเป็นเสียงเดียวว่า เจ้าสิ่งที่เรียกว่าหลุมดำหรือแบล็ค โฮลนั้นได้จัดการออกล่าเหยื่อเขมือบดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าไปแล้วมากต่อมาก และหลังจากเขมือบดาวเหล่านี้ไปชั่วระยะหนึ่งแล้ว มันก็หยุดการล่าเหยื่อของมันไปชั่วระยะหนึ่ง
ช่วงที่แบล็ค โฮลอยู่เฉยๆ ไม่อนาทรคันปากคันคอจะกินดาวอย่างที่เคยนั้น นักดาราศาสตร์นั่นแหละที่เขาบอกว่ามันกำลังขอเวลาสำหรับ “ย่อย” ดาวที่เป็นอาหารของมันอยู่ มาถึงตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้าสังเกตสังเกตเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ กำลังร้องบอกว่าเจ้าหลุมดำ หรือแบล็ค โฮลนี้ เริ่มต้นที่จะออกล่าเขมือบดวงดาวใหม่แล้วแต่โชคดีที่ว่าโลกเรานั้นยังอยู่ไกลมากจากถิ่นที่สัตว์ร้ายแห่งเอกภพนี้มันสิงสถิตอยู่ ไม่เช่นนั้นสักวันหนึ่งโลกใบนี้ ก็คงถูกมันเขมือบ และจัดการย่อยอร่อยปากอร่อยกระเพาะมันไปเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม วันสุดท้ายของโลกและสุริยจักรวาลนั้นก็ยังมีโอกาสมาถึงเหมือนกัน เพราะดวงดาวเพื่อนบ้านตลอดจนถึงดวงอาทิตย์ อาจจะถือว่าสุริยจักรวาลทั้งระบบนั้นกำลังค่อยๆ ถูกดูดให้เข้าไปหาเจ้าแบล็ค โฮลนี้ทีละน้อยๆ แต่ว่าเรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจขนข้าวของอพยพกันหรอกนะครับ เพราะนักดาราศาสตร์กล่าวว่า อีกอย่างน้อยๆ ก็นับสิบๆ ล้านปีนั่นแหละกว่าที่โลกจะกลายเป็นเหยื่อเจ้าสัตว์ร้ายแห่งเอกภพ เวลาป่านนั้นเราจะตายไปเกิดที่ไหนอีกกี่สิบกี่ร้อยหรือกี่ล้านชาติก็ไม่รู้
ปรากฎการณ์สัตว์ร้ายแห่งเอกภพหรือหลุมดำนี้อาจจะมีมานานนับร้อยพันหมื่นล้านปีมาแล้ว แต่ก็เพิ่งเป็นที่ประจักษ์กันในหมู่มนุษย์เพียงไม่นานมานี้ ก็เมื่อคนเรามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สามารถพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้รอบตัวให้ทันสมัยสมใจนึกมากขึ้น เพราะความก้าวหน้านี้เอง ที่ทำให้เราได้มองเห็นเจ้าสัตว์ร้ายนี้ ด้วยความรู้จากสมมติฐานกลายไปเป็นทฤษฎี
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2451 หรือ 81 ปีมาแล้ว มีปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่บริเวณทุ่งทุงกัสทางตอนกลางของไซบีเรีย ปรากฏการณ์นี้ได้แก่การระเบิดเสียงกึกก้องกลางอากาศ และมีการสั่นสะเทือนอย่างมหาศาลของแผ่นดินบริเวณนั้นและในอาณาเขตรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรโดยรอบ บรรดาผู้ที่อาศัยในละแวกทุงกัสนั้นต่างให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะเกิดการระเบิดนั้นพวกตนแสบตาจ้าไปหมดด้วยแสงอันขาวนวลอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แสงนั้นทำให้ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องสว่างนั้นมืดมิดไปชั่วขณะ และเกิด “เสาไฟมหึมา” พลุ่งขึ้นมาจากพื้นโลก
เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังคงปรากฎอยู่ในทุ่งทุงกัสแม้จนกระทั่งวันนี้อันเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม คือ สภาพหงิกงอของไม้ไร่ในป่าแถบนั้น กระหย่อยใหญ่เหมือนกับถูกมือยักษ์ทึ้งและเผาราบ ไม้ใหญ่น้อยนี้ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ก็ไม่มีไม้ต้นใหม่เกิดขึ้นนักวิทยาศาสตร์ได้บุกบั่นเข้าไปทำการสำรวจค้นคว้าบริเวณนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่มีใครลงมติเห็นพ้องกันว่าสาเหตุของปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ว่าจะเห็นตรงกันว่ามันเป็นหายนะที่มาจากฟากฟ้าเหนือหัว
สาเหตุที่เกิดการทำลายป่าครั้งใหญ่ และสิ่งประหลาดที่ชาวทุงกัสยุคนั้นได้พบเห็นชนิดตายไปก็ยังลืมไม่ลงนั้นยังมีการโต้แย้งต่างๆนานา อะไรเกิดขึ้นที่ไซบีเรียครั้งนั้นตอนนี้สามารถแยกสาเหตุออกไปได้คือ ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นผลจากการที่สะเก็ดดาวขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งหล่นเข้ามาอยู่ในปริมณฑลแรงดึงดูดของโลก แล้วก็เลยถูกดูดลงมาถล่มเอาบริเวณดังกล่าว เหตุผลหนึ่งไปไกลกว่านั่นคือเชื่อว่าอาจจะมีมนุษย์ต่างดาวนำยานของตนมาฉวัดเฉวียนทำนองสำรวจโลกพระเคราะห์ที่มนุษย์อาศัยอยู่ และให้เกิดอุบัติเหตุเชื้อเพลิงคือพลังนิวเคลียร์ในยานลำนั้นแผลงฤทธิ์ปึงปังออกมา มันก็เท่ากับการหยอดระเบิดนิวเคลียร์ลงไปบนทุ่งทุงกัสที่ว่าทำให้แหลกลาญไปหมด
แต่ทฤษฎีล่าสุดที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งไว้สำหรับกรณีลึกลับแห่งทุง่ทุงกัสนี้คือ อาจจะเป็นไปได้ที่โลกเจอเข้ากับรายการ “แทะเล็ม” ของปรากฎการณ์ชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งจะมีการค้นพบกันไม่นานมานี้ที่เผอิญเป็นปรากฎการณ์ระดับไม้จิ้มฟันของเอกภพ นั่นคือผลจากการอาละวาดของเจ้าแบล็ค โฮล
เรื่องนี้ก็อาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “อภินิหารเจ้าหลุมดำ”
หลุมดำหรือแบล็ค โฮลนี้เป็นภาพที่มองไม่เห็นในเอกภพ แต่ว่ามันสัมผัสได้ด้วยการสังเกตได้ด้วยผลที่บังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวของมัน ก็คือการหายไปของดาวต่างๆ ที่กล้องโทรทัศน์จากผิวโลกมองออกมาและบันทึกเอาไว้เปรียบเทียบกัน แสดงถึงอำนาจอันมหาศาลของเจ้าตัวร้ายแห่งเอกภพ
ในปี พ.ศ. 2447 เอฟ.ดับเบิลยู เบสเซล นักดาราศาสตร์สำคัญคนหนึ่งแห่งหอดูดาวคอนิกบูร์ก ของปรัสเซียปัจจุบันคือหอดูดาวแห่งคาลินนินกราด สหภาพโซเวียตได้เฝ้าสังเกตดาวฤกษ์สำคัญดวงหนึ่งที่รู้จักกันมากแต่สมัยดบราร ก็คือซิริอุส หรือดาวหมาที่ชาวไอยคุปต์ถือเป็นดาวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล และพบโดยบังเอิญว่าดาวซิริอุสนี้มิได้เดินไปตามที่ตามทางของมัน หากแต่ดูเหมือนคล้ายกับว่ากำลังอยู่ในวิถีที่จะหลับอะไรสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็น
นักดาราศาสตร์รุ่นหลังจากเบสเซลได้ติดตามสานต่องานของเขาและพบว่า ใกล้เคียงกับดาวซิริอุสนั้น มีดาวดวงหนึ่งขนาดเล็กกว่ากำลังมีแสงริบหรี่ลงไปกว่าปกติแต่ในไม่นานหลังจากนั้น มันก็ส่งแสงสว่างจ้าข่มดาวซิริอุสซึ่งว่าสว่างแล้ว เป็นปรากฎการณ์ต่อเนื่องอยู่หลายปี แล้วจากนั้นมันก็หายไปจากกล้องโทรทัศน์ หลังจากที่มันหายไปแล้วนั่นเอง ปรากฏว่าจำนวนดาวน้อยๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในละแวกที่อยู่ใกล้เคียงกับดาวที่หายไปนั้นลดลงเรื่อยๆ และก็ทรงตัวอยู่ชั่วระยะหนึ่งจากนั้นก็ลดจำนวนลงไปอีกจนละแวดนั้นนอกจากดาวซิริอุสแล้ว เป็นที่เวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากดาว เหมือนกับใครไปถอนหญ้าในแปลงเล็กๆ เสียเตียน
ปรากฏการณ์ที่รวบรวมได้จากการสังเกตนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้นำมาศึกษาวิจัยกันแล้ว และพบว่าเป็นกำเนิดของหลุมดำหรือสัตว์ร้ายแห่งเอกภพอันเนื่องจากการถึงแก่กาลอวสานของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่
มีการเอากรณีปรากฎการณ์ประหลาดที่ไซบีเรียครั้งนั้นมาพิจารณาประกอบด้วย นักเคมีชาวอเมริกันนายหนึ่ง ก็คือ วิลลาร์ด ลิบบี้ อดีตสมาชิกของคณะกรรมการพลังงานปรมาณูของสหรัฐ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในฐานะค้นพบวิธีการตรวจสอบอายุของสสารด้วยระบบกัมมันตรังสีคาร์บอน ได้ร่วมกับพรรคพวกอีกสองคนทำการทดลองพบว่า การเคลื่อนไหวของสิ่งสองสิ่งในอวกาศคือสสารกับตัวต้านสสารนั้น ทำให้เกิดพลังงานอย่างใหญ่หลวงมหาศาล และปรากฎการณ์นี้อาจจะเป็นไปได้เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเฉียดเข้ามาใกล้และถูกโลกดึงลงมาแผลงฤทธิ์กันบนทุ่งไซบีเรีย
แต่ว่าสิ่งที่เรารู้กันในทุกวันนี้เกี่ยวกับอสูรร้ายในเอกภพคือ แบล็ค โฮลนั้น มันเกิดขึ้นจากผลของการที่แก๊สในดาวฤกษ์ซึ่งมีกลุ่มก้อนมหึมาเกิดการหลอมตัวของนิวเคลียร์เข้าด้วยกัน เป็นลักษณะของการแปลงธาตุจากธาตุหนึ่งไปยังอีกธาตุหนึ่ง โดยเฉพาะจากไฮโดรเยนเป็นฮีเลียม การแปลงธาตุจากการหลอมตัวของนิวเคลียสนี้ผลพวงที่แนบมาด้วยก็คือพลังงานความร้อนที่เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ที่มนุษย์สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แรงที่สุด
พลังงานมหาศาลที่มีทั้งความร้อนระคนปนเข้ากับแสงและรังสีอื่นๆ อันเกิดจากการหลอมตัวแปลงธาตุนี้จะผลักดันปรมาณูและอณูต่างๆ ออกจากกัน แต่ในเวลาเดียวกับที่มีแรงผลักดันปรมาณูออกจากกันนี้ก็พลอยหมดไปตามไปด้วย คงเหลือแต่แรงดึงดูดให้ปรมาณูวิ่งเข้ามากันอยู่แรงเดียว
เมื่อมีแต่แรงดึงปรมาณูเข้าหากันอยู่แต่ลูกเดียวเช่นนี้ ดาวฤกษ์ที่ดันเผาไหม้ตัวเองขึ้นมานั้นก็จะเริ่มหดตัวเล็กลงกว่าขนาดของเดิม และก็หดตัวลงไปเรื่อย แต่ว่าจะหดใหญ่เล็กแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าดาวฤกษ์ดวงเดิมนั้นมันใหญ่โตแค่ไหน ดาวฤกษ์ขนาดย่อมๆ หน่อยก็จะหดตัวมาเป็นดาวฤกษ์นิวตรอน ซึ่งในตัวของมันนั้นก็จะประกอบด้วยสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “สารควบแน่น” และสารควบแน่นพวกนี้จะเป็นสสารที่ไม่มีอนุภาคไฟฟ้าอยู่ในตัวเหมือนกับสสารทั่วไป นั่นเองที่เขาเรียกมันว่า “นิวตรอน” หรือ “สารเป็นกลาง”
แต่ที่น่าทึ่งและมหัศจรรย์ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์เขาว่ากันไว้นั้นก็คือ เจ้าสารควบแน่นนี้ปริมาณเพียงแค่หัวไม้ขีดเท่านั้นมันจะหนักเป็นพันล้านตัน หรืออีกนัยหนึ่งหนักยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยหรือเขาพระสุเมรุเสียอีก
แต่ดาวฤกษ์ที่เอาแต่หดตัวไปนั้นก็ไม่ได้หยุดหดไปแม้แต่น้อย คงทำการก้มหน้าก้มตาลดขนาดของมันด้วยการหดต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ไม่มีขนาด ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากสภาพใหม่ที่มองไม่เห็น และที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “หลุมดำ” หรือ “แบล็ค โฮล” นั่นแหละ
ทั้งหมดนี้ออกจะเป็นเรื่องฟังหนักสมองเอาสักหน่อยแต่นี่ขนาดผมพยายามเรียบเรียงเอาคำอธิบายของนักวิทยาศาสตร์ไต่บันไดลงมาถึงพื้นให้ท่านผู้อ่านพอเข้าใจแล้วนะครับ มันเป็นศาสตร์ในเรื่องกฎของฟิสิกส์ที่เขาว่าเอาไว้ แค่ถอดเอามาง่ายๆ ผมยังต้องนอนก่ายหน้าผากอยู่หลายตลบกว่าจะออกมาเขียนได้อย่างนี้
ก็นักวิทยาศาสตร์นั่นแหละที่ว่าไว้ว่า เจ้าหลุมดำอินวิซิเบิ้ลตัวนี่แหละที่มันมีสนามแม่เหล็กอยู่สูงมหาศาล อำนาจทางแม่เหล็กของมันนี่เองที่เที่ยวไปดูดดาวที่มันผ่านเข้าไปใกล้เคียงเข้าไปหามัน และก็จัดการเขมือบดาวนั้นๆ เข้าตัวมันหายวับไป เหมือนกับเป็นอาหารโอชะแล้วเมื่อดาวทั้งหลายถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำนั้นก็ยิ่งจะไปเพิ่มแรงดึงดูดให้กับเจ้าตัวหลุมดำจอมเขมือบนี้มากขึ้นไปอีก
พฤติการณ์ของเจ้าหลุมดำนี้แหละที่เห็นๆ กันว่าเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายที่ซุ่มอยู่ในกาแลกซี่ของเรา และบางทีอาจจะอยู่ในกาแลกซี่อื่นๆ อีกหมื่นล้านอสงไขยในความเวิ้งว้างหาที่สิ้นสุดมิได้ของจักรวาล
ถึงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์อเมริกากันกำลังบอกว่าเจ้าหลุมดำที่หยุดนิ่งย่อยอาหารดาวที่มันก้มหน้าเขมือบไปพักหนึ่งนั้น เริ่มขยับเขยื้อนท้องร้องขึ้นมาแล้ว และก็กำลังเริ่มเขมือบดาวฤกษ์ที่ตุปัดตุเป๋เข้าไปใกล้ๆ มันเป็นอาหารอีกครั้งหนึ่ง ฟังแล้วก็น่าขนหัวลุก
หลุมดำนี้มันคืออะไรกันแน่ เราเห็นจะต้องรอไปสักปีสองปีอาจจะรู้จักมันมากกว่าที่รู้อยู่แล้ว เพราะจากวิทยาการที่ก้าวหน้ามากขึ้น เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ขณะนี้นักดาราศาสตร์สามารถที่จะส่งกล้องส่องดาวหรือกล้องโทรทัศน์ออกไปเล็งดูกันได้นอกโลกแล้ว โดยฝากไปกับบัลลูนที่ส่งขึ้นไปโคจรในอวกาศแล้วส่งภาพข้อมูลต่างๆ กลับมาดูกันเพื่อตัดสินกันให้แน่ชัดว่าเจ้าจอมเขมือบนี้มันคืออะไรกันแน่

===> เยติ มนุษย์หิมะ <===


มนุษย์หิมะ - เยติ (The Abominable Snowman) อโบมิเนเบิ้ล สโนว์แมน หรือ ที่ชาวเซอร์ปาร์เรียกว่า เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาวภูเขา มันเข้าไปพัวพันอยู่ในความเพ้อฝัน ศาสนา ตำนาน เล่ห์ลวง และ การค้า คนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้ และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยบันทึกภาพไว้ และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยนักบุกเบิกในปลายยุค 1950 และ 1960 แต่ตอนนี้หลักฐานการดำรงอยู่ของมันดูเหมือนจะหนักแน่นขึ้นทุกวัน
นักเดินทางคนหนึ่งที่จะไปยังกาฎมันฑุ ต้องเข้าไปพัวพันอยู่ในธุรกิจของเยติก่อนที่เขาจะไปถึงเนปาลเสียอีก สายการบินแห่งชาติเนปาลบินเฉียดไปบนเขตภูเขาที่ต่ำที่สุด ผ่านหมู่บ้านที่ตั้งกันอยู่อย่างเปะปะบนยอดเขา จากนั้นในทันทีทันใดแนวของยอดสูงสุดของเทือดเขาหิมาลัยก็ปรากฎแก่สายตาเป็นสีขาวหยัก ส่วนที่เหลือถูกกันออกไปโดยเมฆ อันเป็นแซงกรีลา หรือ แดนสุขาวดี หมู่บ้านลึกลับ ชนเผ่าที่ไม่มีใครรู้จัก เยติ ทั้งหมดดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ในช่องที่ติดอยู่กับที่นั่งในเครื่องบิน มีเมนูสำหรับสายการบินเยติแอร์ไลน์ และโรงแรมใหม่ที่คุณจะได้เข้าพักสร้างโดยเวิร์ลด์แบงค์ มีชื่อว่า แยกแอนด์เยติ (YAK AND YETI , YAK หมายถึง จามรี) เยติเป็นตำนานที่มีค่าทางพาณิชย์มาก บางทียังอาจเป็นรายได้หลักของประเทศเนปาลที่ได้จากชาวต่างชาติ
เรื่องราวของเยติซึ่งเป็นอสูรกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย เป็นตำนานในหมู่ของชาวเนปาล โดยเฉพาะชาวเชอร์ปาผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ณ วัดแห่งหนึ่งในร่มเงาของเทือกเขา เอเวอร์เรส ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า มักจะมีฝูงเยติมาเยือนทางวันอยู่เสมอในแต่ละปี คำบรรยายที่มีสีสันของการโจมตีโดยเยติถูกรายงานไปยังกาฎมันฑุ เด็กหญิงชาวเชอร์ปาผู้หนึ่งชื่อว่า ลาคห์หาโดมานิ ได้บอกเล่าเหตุการณ์หนึ่งให้กับ วิเลียม เวบเบอร์ ซึ่งเป็นอาสาสมัครของพชคอร์พส์ ที่ทำงานในหมู่บ้านมาชเชอร์มา ในแถบเอเวอร์เรส เด็กหญิงกล่าวว่า เธอนั่งอยู่ที่ริมลำธารเพื่อดูฝูงจามรีของเธอ ตอนที่เธอได้ยินเสียงหนึ่ง และได้หันไปเผชิญหน้ากับ สิ่งมีชีวิตที่คล้ายลิงตัวใหญ่ มันมีดวงตาที่ใหญ่โตและกระดูกโหนกแก้มนูนขึ้นมา ตัวของมันปกคลุมด้วยขนสีดำและน้ำตาลแดง มันตรงเข้าคว้าตัวเธอ และแยกเธอไปยังลำธาร แต่ดูเหมือนเสียงกรีดร้องของเธอจะทำให้สัตว์ตัวนั้นตกใจจนปล่อยเธอลง จากนั้นมันก็เข้าโจมตีจามรีสองตัวของเธอ มันฆ่าตัวหนึ่งโดยการทุบ และอีกตัวโดยการจับเขามันและบิดคอ เหตุการณ์นี้ได้ถูกรายงานไปยังตำรวจของท้องถิ่น และตรวจพบรอยเท้าของมัน เวบเบอร์กล่าวว่า "เธอจะหลอกเราไปเพื่อเหตุใดกันล่ะ ข้อสรุปของผมคือว่าเด็กคนนั้นพูดจริง"
หลักฐานของเยติแบ่งออกเป็นสามประเภทใหญ่ๆ คือ รอยเท้า , ผู้ที่พบเห็นตัวมัน และหลักฐานทางกายภาพ เช่น กะโหลก และหนังของมัน

รอยเท้า เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสนใจอย่างมาก มีการรายงานถึงรอยเท้าของมันโดยชาวตะวันตกตั้งแต่ปี 1887 และจากนั้นโดยเจ้าหน้าที่ของกองทัพอังกฤษผู้หนึ่ง บนเทือกเขาเอเวอร์เรสท์ที่ระดับความสูง 6,400 เมตร ในปี 1921 มันเป็นรูปถ่ายรอยเท้าที่น่าสนใจ เอฟ เอส สมิธธี เป็นคนแรกที่ถ่ายภาพไว้ที่ความสูง 5,029 เมตร ในปี 1937 ภาพถ่ายของ อีริค ชิพตั้น ที่ถ่ายโดยมีขวานขุดหิมะวางไว้ข้างๆ เพื่อเทียบสัดส่วน เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาอย่างจริงจัง ในปี 1978 แม็คนีลลี่ และดครนิน นักสำรวจชาวอเมริกันพบรอยที่ชัดเจนและลึกพอที่จะหล่อปูนปลาสเตอร์ได้ ในปีถัดมา ลอร์ดฮันท์ ได้พบรอยเท้าและรูปที่ได้เขาถ่ายมาในปี 1978 ได้แสดงให้เห็นถึงรอยเท้าที่มีขนาดใหญ่โต ยาว 35.6 เซนติเมตร และกว้า 17.7 เซนติเมตร
ในการบรรยายที่ รอยัล จีโอกราฟฟิค โซไซเอตี้ ในกรุงลอนดอน ลอร์ดฮันท์ ได้กล่าวว่า "พวกเราอยู่ด้านข้างของหุบเขาตอนล่างของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์ มันเป็นตอนหัวค่ำและเริ่มจะมืด ผม และภรรยาได้เดินมาพบรอยเท้า พวกมันยังใหม่อยู่ และผมบอกได้เลยว่ามันเกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน มีหิมะที่ลึกบนทางที่ค่อนข้างชัน และสิ่งมีชีวิตนั้นหนักเอาการทีเดียว เพราะมันกดทับหิมะลงไปเป็นผิวที่แข็ง จนพวกเราเดินไปบนนั้นได้โดยไม่สร้างร่องรอยใดๆ เลย รอยเท้าเป็นรูปไข่ขนาดใหญ่ ผมวางขวานขุดน้ำแข็งลง -ข้างๆ เพื่อวัดได้ความยาว 35 เซนติเมตร และ กว้างประมาณครึ่งหนึ่งของความยาว" ลอร์ด ฮันท์ ผู้ที่ได้เห็นรอยเท้าของมันหลายครั้งหลายหน ในช่วงประมาณ 30 ปี และได้ยินสิ่งที่เรียกว่า "เสียงกู่ร้องโหยหวน" "เราไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นใดได้นอกจากว่านั้นคือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฎหลักฐานที่ยังต้องทำการค้นหากันต่อไป"
ศัลยแพทย์นักไต่เขาชาวอังกฤษ ไมเคิล วาร์ด อยู่กับ อีริค ชิพตั้น ในปี 1951 เมื่อเขาได้ทำการบันทึกภาพรอยเท้าไว้ "พวกเราอยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์" - เขาบอก "และเราข้ามเขตภูเขากว้างใหญ่ในระดับความสูงประมาณ 5,791-6,961 (19,000-20,000 ฟุต) และเข้าไปในเขตที่เรียกว่า "ช่องว่าง" บนแผนที่อันเป็นที่ที่แผนที่ปรากฎเป็นสีขาวสะอาดและไม่มีลักษณะภูมิประเทศอยู่เลย" บนธารน้ำแข็งสายหนึ่งมีร่องรอยของแพะภูเขาเดินข้าม ในทันใดนั้นเขาก็เห็นรอยอื่นอีก
"เป็นรอยที่ชัดเจนและมีความแตกต่างอย่างมาก เราสามารถเห็นนิ้วโป้งของทุกรอยได้ รอยนั้นตรงไปตามธารน้ำแข็งไกลหลายไมล์จนมองไม่เห็น ความรู้สึกของผมบอกว่ารอยพวกนี้ อาจเกิดขึ้นในตอนกลางคืนหรือรุ่งเช้าของวันนั้นเอง เพราะไม่มีรอยเลอะเลือนที่ขอบของมันเลย ในบางแห่งคุณจะเห็นได้เลยว่ามีรอยที่สัตว์ตัวนี้กระโดดข้ามช่องน้ำแข็งเล็กๆ โดยจะเห็นรอยนิ้วเท้าอย่างชัดเจน คุณจะเห็นได้ในรูปเหล่านี้ รอยเท้าจมลึกเกินกว่าที่คนอย่างเราจะทำได้ เราอาจจะตามรอยถ่ายภาพมันไปให้ไกลกว่านี้สักหน่อยถ้าเสบียงอาหารของเราไม่ร่อยหรอลง และพวกเราก็ยังมีเป้าหมายหลักที่จะเดินทางไปยังประเทศที่ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อนเลย ไม่เพียงแต่ชาวเชอร์ปาและชาวธิเบตที่ยังไม่เคยไป แต่รวมถึงชาวยุโรปด้วย"
ต่อจากนั้นทั้งชิพตั้นแลวาร์ด ก็หลงเข้าไปในเขตธิเบตและถูกจับกุมโดยทหารรักษาการณ์ของกองทัพธิเบต เพียงเพื่อเรียกค่าไถ่ในราคาคนละหนึ่งปอนด์เท่านั้น
ในมุมมองของคนช่างสงสัยก็ว่า รอยเท้านั่นเป็นของ สัตว์พันธุ์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภาวะแวดล้อมของดวงอาทิตย์ และหิมะ อาจจะเป็นหมีสีฟ้า (BLUE BEAR) - ของธิเบต ซึ่งโดยตัวของมันเองก็เป็นสัตว์ที่หายากแทบจะกลายเป็นตำนานไปแล้ว หรืออาจเป็นลิงแลงกูร์ (LANGUR MONKEY) ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ว่าอาศัยอยู่ที่ระดับความสูงดังที่กล่าวมา แม้แต่เสือดาวหิมะก็ยังถูกนำเข้ามาร่วมด้วย และจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนส่งไปยังนิตยสารของอังกฤษ COUNTRY LIFE ได้เสนอความเห็นว่ามันอาจเป็นนกอีกาปากแดง (ALPINE GHOUGH) ซึ่งจากที่เคยมีการเฝ้าดูมันได้ทิ้งรอยเท้าที่เหมือนกับมนุษย์หิมะเมื่อมันกระโดดขาเดียวไปบนหิมะ
อย่างไรก็ตามนักสัตววิทยา ดับเบิ้ลยู เซเนสกี้ จากมหาวิทยาลัยควีนแมรี่ลอนดอน ได้ทำการวิเคราะห์รอยเท้าที่ชิพตั้นพบอย่างละเอียด โดยการสร้างแบบจำลองขึ้นมาใหม่และเปรียบเทียบมันกับรอยเท้าของลิงกอริลล่า, มนุษย์ยุคหิน และมนุษย์ ไม่มีรอยใดที่มีนิ้วเท้าทั้งสองที่กว้างใหญ่ และมีกระดูกอุ้งเท้าที่สั้นผิดปกติเช่นนี้เลย เขาวินิจฉัยออกมา-ว่ารอยเหล่านั้นไม่มีส่วนใดที่คล้ายกับหมีหรือลิงแลงกูร์เลย "หลักฐานทั้งหมดแสดงออกมาว่า สิ่งที่เราเรียกกันว่า มนุษย์หิมะนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสองเท้า ที่มีโครงสร้างใหญ่และหนาทึบ เป็นไปได้มากกว่า เป็นชนิดเดียวกันกับซากฟอสซิสของ GIGANTOPITHECUS" ข้อวินิจฉัยเช่นนี้ทำให้เยติใกล้จะเป็น "ห่วงโซ่ที่หายไป" ดังที่นักวิท-ยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางคนกล้ายอมรับ
กับผู้คนที่เคยเห็นรอยเท้าของจริง ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีภูมิหลังที่ไม่เคยเชื่อเรื่องของเยติเลย กัปตัน เอมิล วิคค์ นักบินชาวสวิสที่ได้มาทำงานให้กับสายการบินแห่งชาติ เนปาล เขามีบ้านที่สวยงามที่ชานเมืองกาฎมันฑุ เขานั่งอยู่ในสวนของเขาในเย็นวันหนึ่งพร้อมทั้งเบียร์ขวดหนึ่ง ดวงตาของเขามองตรงไปข้างหน้าขณะเล่าเรื่องให้ฟัง
"พระเจ้า ผมบอกคุณได้เลยว่าผมไม่เคยมีความสนใจเลยสักนิดกับเจ้าเยติบ้าๆ นั่น เมื่อผมมาที่เนปาล ผมมาเพื่อขับเครื่องบินเล็กใกล้กับภูเขาให้กับนักท่องเที่ยว และก็เพื่อเป็นการหาความสนุกให้กับตัวเองเมื่อไม่ได้ทำงาน เหมือนกับที่ผมทำเมื่ออยู่ที่กรุงเทพฯ และอินโดนีเซียและที่อื่นๆ ดังนั้นในเช้าวันหนึ่งปีที่แล้วผมจึงขับเครื่องบินให้กับชาวญี่ปุ่นไปยังยอดเขาคองเชนจุนก้า แล้วผมก็ได้เห็นรอยเท้านี้ในระดับที่สูงมาก มีสามรอยแยกต่างหากกัน เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตสองขา มันมาจากคนละด้านของสันเขาที่สูงชัน จากนั้นพวกมันก็เดินไปด้วยกันและลงไปที่ทะเลสาปแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน บางทีพวกมันมาที่นี่เพื่อดื่มน้ำก็เป็นได้ ผมรู้ว่านั้นเป็นหิมะที่เพิ่งตกใหม่ และเป็นเเวลาไม่เกินเจ็ดโมงเช้า ดังนั้นแสงอาทิตย์จึงยังไม่อาจเล่นตลกกับผมได้ ผมบินวนมาดูถึงสามรอบ แล้วคุณต้องไม่เชื่อแน่ มีหญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งนั่งข้างๆ ผมพร้อมด้วยกล้องถ่าย-รูป ผมก็เลยขอให้เธอช่วยถ่ายรูปเอาไว้ "แล้วผมจะให้คุณบินฟรี" ผมบอก แต่เธอกลับพูดว่า "เลิกบินวนเพื่อความสนุกของคุณซะทีเถอะ เราจ่ายให้คุณบินไปที่คองเชนจุนก้านะ-นั่งเป็นที่ที่เราต้องการจะถ่ายรูป"
บาทหลวง บอร์เดทท์ ชาวฝรั่งเศสจากสถาบันธรณีวิทยาของปารีสได้ตามรอยสามรอยเป็นจำนวนมากในการสำรวจปี 1955 จากนิตยสาร BULLETIN ของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติ ณ กรุงปารีส เขาได้ให้การว่าเขาตามรอยรอยหนึ่งไปกว่าครึ่งไมล์ ในตอนนั้นรอยนั้นชัดเจนมาก เขาสามารถสังเกตเห็นรอยของแต่ละนิ้วได้ -เลย ณ จุดหนึ่งที่สิ่งมีชีวิตนี้กระโดดลงมาจากกำแพงหินเล็ก ๆ ที่สูง 1-1.5 ม. รอยเท้าของมันจมลึกลงไปในหิมะถึง 15 เซนติเมตร หรือมากกว่านั้น หลวงพ่อบอร์เดทท์มีภาพถ่ายที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว จากนักวิชาการสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมของฝรั่งเศสสองท่าน ซึ่งได้วินิจฉัยออกมาว่ารอยนั้นต้องเป็นของสัตว์ในสายพันธุ์ที่ยังไม่รู้จัก
เลสเตอร์ เดวิด นักปีนเขาจากประเทศอังกฤษก็เกิดความสนใจในความลึกของรอยเท้าที่เขาได้ทำการถ่ายภาพยนตร์ไว้ในปี 1955 จากการสำรวจเทือกเขาหิมาลัยของกองทัพอากาศแห่งสหราชอาณาจักร
"มันจมลึกลงไปราวๆ 12.7-15.24 เซนติเมตร ด้วยกล้องถ่ายหนังและเป้หลัง ตัวผมก็มีน้ำหนักประมาณ 80 กก. ก็ยังสามารถทำรอยเท้าจมลึกลงไปแค่ 2.5 - 3 เซนติเมตรเท่านั้นเอง ผมคิดว่าเจ้าตัวนั้นต้องมีขนาดใหญ่โตมาก"
มีหลายคนซึ่งเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ บอกว่าพวกเขาเคยเห็นสิ่งมีชีวิตนั้นจริงๆ ดอน วิลเลี่ยม เป็นเจ้าของกิจการเกสท์เฮ้าส์ที่มีชื่อว่า เวลซ์ เขาเป็นคนที่เข้มงวดและก็จริงจัง ทั้งยังเป็นวีรบุรุษที่มีใจสู้ในการปีนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และคองเชนจุนก้า เขาอยู่ในแอนนาปุระในเดือนมิถุนายน ปี 1970
เราอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แอนนาปุระ อย่างที่เขาเรียกกัน ซึ่งเป็นระฆังใบหนึ่งบนเขาที่สูงมาก และผมก็รู้สึกกังวลในการหาที่พักแรมที่เหมาะสมในตอนกลางคืน และตอนที่เราเดินไปช้าๆ รอบปากหุบเขา ผมได้ยินเสียงอะไรอย่างหนึ่งที่เหมือนเสียงนกร้องมาจากข้างหลัง ผมมองไปที่ชาวเชอร์ปาแล้วเขาก็บอกว่า "เยติมาครับนาย" ดังนั้นผมจึงมองไปรอบๆ แล้วมองขึ้นไปบนภูเขา ผมเห็นอีกาสีดำสองตัวกำลังบินจากไป และได้เห็นเงาร่างสีดำร่างหนึ่งบนสันเขา ความคิดแรกของผมคือ "ทำไงดีล่ะ หยิบเอาขวานขุดหิมะออก-มาหรือไง " อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ปรากฎขึ้นมาอีก ดังนั้นผมจึงนบอกว่า "ไปหาที่ตั้งแคมป์กันเถอะ" วันต่อมา เราเดินขึ้นหุบเขต่อเพื่อทำการสำรวจวัดอย่างคร่าวๆ ทางด้านใต้ให้เสร็จ และผมก็เห็นรอยที่สิ่งมีชีวิตตัวนั้นทิ้งไว้อย่างชัดเจนในคืนก่อน รอยเท้าพวกนี้ลึกลงไปถึง 45 เซนติเมตร หิมะอ่อนนุ่มมาก และกะอยู่คร่าว ๆ ว่ารอยเท้าเหล่านั้นจะมีขนาดเดียวกับเท้าของผม ซึ่งสอดคล้องกันกับสิ่งที่ชาวเชอร์ปาบอกว่ามันเป็นลูกของเยติ ผมคาดว่าพวกเยติถ้ามีอยู่จริงก็คงมีหลายขนาดเหมือนกับมนุษย์นะแหละ หลังจากนั้น-ในตอนเย็น มันเป็นค่ำคืนที่มีแสงจันทร์สว่างมาก ด้วยเหตุผลบางอย่างผมเกิดมีความรู้สึกที่รุนแรงมากกว่าเจ้าสัตว์ตัวนั้นยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ นี้แน่ ดังนั้นผมจึงโผล่หัวของ-ผมออกไปนอกเต้นท์ แสงจันทร์สว่างมากจนผมสามารถอ่านหนังสือได้ ผมได้เฝ้าดูอยู่ประมาณสิบห้านาที และเพิ่งจะมีความคิดว่า "เฮ้อ! ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรมันคงไปแล้วล่ะ" แล้วผมก็มองเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว ถ้าคุณปีนเขามามากๆ แล้วคุณมักจะชินกับการมองไปที่ภูเขาและมองเห็นภาพที่เล็กมากและเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เล็กๆ ได้ เจ้าตัวที่ผมเห็นนี้มีการเคลื่อนไหวที่คล้ายลิงท่าทางการเดินที่ตลก ไปที่สิ่งหนึ่ง ซึ่งในหลายสัปดาห์ต่อมาเมื่อหิมะละลายจึงได้เห็นว่า มันคือพุ่มไม้ มันกำลังดึงกิ่งไม้บางกิ่ง ยังไงก็เถอะผมก็ได้เฝ้ามองดูมันเกือบยี่สิบนาที ผมเอากล้องส่องทางไกลมาใช้ดูและทั้งหมดที่ผมสามารถมองเห็นได้ก็คือรูปร่างที่คล้ายลิงสีดำ จากนั้นในทันทีทันใดเหมือนกับว่ามันรู้ว่ามีใครกำลังจ้องมองมันอยู่ มันจึงวิ่งผ่านเหลี่อมเขาไป มันคงต้องเดินทางไปราวๆ ครึ่งไมล์ก่อนที่จะหายไปในเงามืดของหินบางก้อน สิ่งประหลาดสำหรับผมก๋คือท่าทางของชาวเชอร์ปา ถ้ามันเป็นหมีซึ่งเป็นสัตว์ที่พวกเขาคุ้นเคย เขาก็น่าที่จะบอกว่า "อ๋อ นั่นเป็นบาร์ลูครับ" ซึ่งเป็นชื่อที่พวกเขาใช้เรียกมัน และมันก็จะจบลงแค่นั้น แต่พวกเขาก็ต้องข่มความกลัวเอาไว้ถึงสองวัน แล้วถ้าผมลองเอ่ยหรือมองดูรอยเท้าผ่านกล้องส่องทางไกล ตลอดวันนั้นผมก็จะได้ยินพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันปากต่อปากแน่

ในปี 1975 นักไต่เขาชาวโปแลนด์ จานุสซ์ โทมาซัค ก็ได้พบกับความตะหนกเมื่อเขาขึ้นไปไต่เขาในเทือกเขาเอเวอร์เรสท์ และเกิดหัวเข่าเคล็ดขณะที่เขาเดินอย่างยากลำ-บากกลับไปยังที่พักบริเวณนั้น เขามองเห็นเงาร่างหนึ่งใกล้เขามาเขาจึงตะโกนของความช่วยเหลือ ร่างนั้นจึงเดินเข้ามาตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่า "คน" ที่เขาเพิ่งจะร้องขอความช่วยเหลือนั้นเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายลิง มีความสูงมากกว่า 1.8 เมตร มีแขนยาวจนถึงหัวเข่า เสียงแหกปากร้องของเข้าได้ขับไล่มันจากไป
เรื่องราวเช่นนี้เป็นเรื่องราวธรรมดาของชาวเชอร์ปา ในปี 1978 มีรายงานการรับความจากเยติมากมาย โดยเฉพาะในเขตสิกขิม ซึ่งทางกรมป่าไม้ต้องส่งชุดปฏิบัติการณ์ออกสำรวจและไล่ล่าแต่ก็ปราศจากผล ความพยายามอย่างจริงจังที่สุดในการไขปริศนาของเยติ ได้รับการสนับสนุนจาก WORLD BOOK ENCYCLOPEDIA ของอเม-ริกา ได้ทำการสำรวจในปี 1960 นำทีมโดย เดสมอนด์ ดัวก์ และ เซอร์เอ็ดมัน ฮิลลารี่ ซึ่งเป็นชายคนแรก (โดยร่วมทางไปกับชาวเชอร์ปา ชื่อเทียนซิงก์) ที่ได้ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดของเขาเอเวอร์เรสท์ พวกเขาอยู่ที่นั้นเป็นเวลาสิบเดือน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บอย่างทารุณ ในบริเวณที่มีการรายงานมาจากนักล่าเยติมากที่สุด การสำรวจเต็มไปด้วยอุป-กรณ์ต่างๆ เช่น กล้องถ่ายหนังเคลื่อนที่ , TIMELAPSE (การถ่ายภาพหมุนช้าและฉายในอัตราปกติ เช่นที่เราจะเห็นภาพดอกไม้ที่บานอย่างรวดเร็ว) และกล้องอินฟราเรด ได้เกิดความตื่นเต้นไปทั่ว เมื่อฮิลลารี่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ชาวบ้านของหมู่บ้านคัมจุงกิ์ (KHUMJUNG) ให้เขายืมหนังหัวของเยติที่เป็นเสมือนตำนานไปเป็นเวลาหกสัปดาห์ ก็เพื่อไปทำการทดลองทางวิทยาศาสต์ หนังหัวนี้พร้อมทั้งของอย่างอื่นอีกสองอย่างและหนังอีกสองชิ้น (ซึ่งต่อมาได้ถูกบ่งชี้ว่ามันเป็นหนังของหมีบูลแบร์ตัวหนึ่ง) ถือว่าเป็นซากที่หลงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวของเยติ
ฮิลลารี่และดัวก์ได้เดินทางออกไปในฤดูใบไม้ผลิพร้อมด้วยผู้ดูแลของหนังหัวนี้คือ คุนโจ้ ชุมบิ ในการเดินทางรอบโลกไปยัง ฮอนโนลูลู , ชิคาโก, ปารีส และแม้แต่พระราชวังบักกิ้งแฮม ในทุกๆ ที่ที่พวกเขาหยุดพัก ชุมปิได้เลียนเสียงร้องของเยติเป็นเสียงแหลมโหยหวนให้กับสถานีโทรทัศน์ ขณะเดียวกันนั้นก็ได้ระดมกำลังผู้เชี่ยวชาญในการทด -สอบหนังหัวนี้ เหมือนกับ ฟีเนียส ฟอกก์ส์ ฮิลลารี่ และดัวก์ ต้องกลับไปยังคัมจุงก์ภายในเวลา 42 วัน มิฉะนั้นตามข้อตกลง ที่ดินและทรัพย์สินของชาวเชอร์ปาของเขาจะต้องถูกยึด พวกเขามาถึงในวันสุดท้ายโดยโดยร่มลงมาจากเฮลิคอปเตอร์พร้อมด้วยหนังหัวที่ถูกรักษาไว้ในกล่องของมัน น่าเสียดายที่มีการตรวจสอบพบว่ามันทำขึ้นมากจากแพะชีโรว์ (SEROW) การสำรวจด้วยกล้องและที่หลบซ่อนไม่มีโชคเลย ฮิลลารี่และดัวก์ ได้ปล่อยให้เยติกลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทพนิยายและตำนานต่อไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เปิดเผยว่าหนังหัวเป็นของปลอม และทุ่มเทเวลาเกือบปีในการพิสูจน์มันเท่าที่ประสบการณ์ และเทคนิคจะอำนวย
ทุกวันนี้ในบ้านที่ปูพรมอย่างสวยงามซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับสถานทูตในกาฎมันฑุ เดสมอน ดัวก์ ยังคงสงสัยอยู่อย่างไม่เลิกราถึงการสำรวจในปี 1960 และเขาก็เปลี่ยนความคิดของเขาแล้ว ในตอนนี้เขาเชื่อว่าเยติยังมีอยู่จริง "แม้ว่าเราอาจจะไม่เคยเห็นเยติก็ตาม" เขากล่าว "เราไม่เคยเห็นเสือดาวหิมะเลยไม่ใช่หรือแต่เราก็รู้ว่ามันมีอยู่จริง การสำรวจในครั้งนั้นใหญ่โตเทอะทะมากเกินไป อีกอย่างในช่วงหลายปีต่อมาผมคิดว่าผมไขปริศนาของหนังหัวได้นะ" เขาได้ชี้ข้ามห้องไปยังสิ่งที่เป็นของจำลองที่สมบูรณ์แบบของหนังหัวจากคัมจุงก์ "ผมเดินทางไปยังสิ่งที่เป็นของจำลองที่สมบูรณ์แบบของหนังหัวกำลังสวมสิ่งนี้อยู่ ไม่มีอะไรมาก ปรากฎว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาทำมันขึ้นได้ปราณีตมาก และก็-สวมมันแทนหมวก" ดังนั้นหนังหัวจึงกลายเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ แต่แม้ว่ามันจะเป็นของปลอม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเยติไม่ได้มีอยู่จริง
ดัวก์ ผู้ที่ได้ใช้เวลาถึงสามสิบปีในเทือกเขาหิมาลัย และสามารถพูดภาษาของท้องถิ่นได้หลายภาษา ได้บอกว่าชาวเชอร์ปานั้นมีคำที่พูดถึงเยติได้สามอย่างต่างกัน นั่นคือ ดซูท์เทห์ (DZUTEH) ซึ่งมีขนาดใหญ่ มีขนหยาบกระด้างไม่เป็นระเบียบ และมักจะมาโจมตีสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านเขาเกือบจะแน่ใจว่ามันคือหมีบลูแบร์ของธิเบต ซึ่งไม่เคยมีชาวตะวันตกคนใดเคยได้เห็นมัน แม้ว่าหนังของมันถูกพบครั้งแรกระหว่างทางไปยังเอเชียติก โซไซเอตี้ ในกรุงลอนดอนในปี 1853 สำหรับทุกวันนี้ หลักฐานการมีอยู่ของมันเท่าที่เราได้รู้ก็คือหนังของมันจำนวนครึ่งโหล กะโหลกหนึ่งใบ และกระดูกบางชิ้น "ครั้งหนึ่งผมเคยพบสุภาพสตรีชาวธิเบตผู้หนึ่ง เธอบอกแก่ผมว่า มีหมีบลูแบร์ตัวหนึ่งใน-สวนสัตว์ของพันเชนลามะ ในชิเกต ธิเบต" ดัวก์กล่าวตัว "เธอบอกว่ามันเดินด้วยขาสองขาและตัวใหญ่เท่ากับผู้ชายสูงๆ คนหนึ่ง และมีหน้าตาที่คล้ายกับลิงหรือหมี" โชคร้าย-ที่สวนสัตว์ทั้งหมดถูกกวาดล้างไปหมดด้วยน้ำท่วม
เธลม่า (TEHLMA) แปลว่า "ชายตัวเล็ก" ซึ่งวิ่งไปพลางร้องไปพลาง และชอบสะสมกิ่งไม้ ดัวก์กล่าว "ผมไม่คิดว่ามีปัญหากับเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันเป็นลิงกิบบอน (GIB- BON) แม้ว่านักสัตวศาสตร์ความเป็นอยู่ของสัตว์จะบอกว่าเราไม่อาจพบมันได้ทางตอนเหนือของแม่น้ำบรามาปูทระ ในอินเดียก็ตาม
มนุษย์หิมะ ที่แท้จริงตำนานโดยคำกล่าวอ้างของดัวก์มันเรียกว่า มิห์เทห์ (MITH TEH) มันป่าเถื่อน และลักษณะคล้ายลิง กินเหมือนมนุษย์ ปกคลุมไปด้วยขนสีดำแดง มีความคลาสสิคอยู่ที่ "นิ้วเท้าที่กลับหัวกลับหางกัน" และออกหากินในระดับความสูง 6,096 เมตร หรืออาจจะสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ
ในปี 1961 เราได้ปล่อยให้ มิห์เทห์กลายเป็นเพียงเทพนิยาย แต่ตอนนี้ผมคิดว่าเราเข้าใจผิดนะ ผมมักจะแสดงให้ชาวเชอร์ปาผู้ที่อ้างว่าเคยเห็นมิห์เทห์ ว่ามันเป็นหมีชนิดหนึ่ง หรือมนุษย์ที่มีความแตกต่างกันออกไป ผมวาดรูปของมนุษย์ยุคนีแอนเดอร์ธาลล์และ GIGANTOPITHECUS , กอลริล่า , ชิมแปนซี , ลิงกิบบอน และอุรังอุตัง แม้ว่า-พวกเขาจะไม่มีความรู้ และไม่ว่าลิงใหญ่นั้นจะเป็นอะไรก็ตาม พวกเขาก็มักจะชี้ลิงตัวหนึ่งซึ่งมักจะเป็นลิงอุรังอุตังอยู่เสมอ เรารู้จากฟอสซิลว่าครั้งหนึ่ง เขามีอุรังอุตังอาศัยอยู่-ทางตอนเหนือของอินเดีย ใครจะรู้ได้ล่ะในเมื่อยังมีป่าทึบซึ่งสามารถซ่อนเผ่าพันธ์ทั้งหมดของเยติเอาไว้ได้ บางทีการเดินทางไกลที่ยากลำบากไปบนเขาสูงชัน คงเป็นอย่างที่ -บาทหลวง เบอร์เดทท์ ได้ให้ข้อคิดเห็นเอาไว้ว่า เพื่อหาน้ำ ซึ่งแหล่งน้ำของมันคงจะแห้งแล้งในเขตล่างของป่า
เรื่องเล่าอื่นๆ ของเยติในหมู่ชาวเชอร์ปา การพบเห็นโดยชาวตะวันตก และเหนือสิ่งอื่นใดรอยเท้าที่ขณะนี้มีการบันทึกเอาไว้มากกว่า 20 รอย รวมทั้งภาพที่ได้นำกลับมาในคริสมาสต์ปี 1979 จากการสำรวจของกองทัพอากาศรักษาพระองค์ พวกชาวสงสัยได้ตั้งคำถามว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะหาอาหารจากที่ไหนในสถานที่เช่นนั้น ผู้ที่เชื่อถือบอกว่า ก็มีแมวภูเขา (LYNX), หมาป่าขนยาว(WOOLY WOLF), แพะภูเขา (IBEX) และจามรี ยังหากินอยู่ในที่ที่สูงเกินกว่า 5,486 เมตร ได้เลยนี่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีใครให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับภาพถ่ายเช่นของ ชิพตั้มและลอร์ด ฮันต์ ซึ่งดูเหมือนจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารอยเท้าของสัตว์ตัวนั้นจะต้องหนักกว่ามนุษย์มาก มันสามารถจะเดินเป็นระยะทางไกลด้วยขาสองขา และทิ้งรอยเท้าที่ไม่เหมือนสัตว์ชนิดอื่นที่เรารู้จักกันเลย