วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

6 ข้อคิดพิชิตงานในฝัน

คน เราทุกคนมีความฝัน และต้องการให้ความฝันเป็นความจริงในสักวัน คนทำงานก็มีงานในฝัน เป็นงานที่อยากทำ ถ้าได้ทำคงจะมีความสุขไม่น้อย เพราะคนเราต้องอยู่ในวัยทำงานไปอีกหลายสิบปี ย่อมต้องการงานที่ดีมีความก้าวหน้า มีความมั่นคง ซึ่งมีผลต่อชีวิตยามเกษียณในอนาคตข้างหน้าด้วย ต่อไปนี้เป็นข้อคิดดีๆ สำหรับคนที่ต้องการพิชิตงานในฝันค่ะ

1. รู้จักตัวเอง
กฎของการรู้จักตัวเองคือ การให้เวลากับการประเมินตัวเอง เพื่อสำรวจความสนใจของคุณ ความสามารถของคุณ และค้นหาว่า คุณชอบทำงานแบบไหน เช่น ลองคิดดูว่า หากคุณต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง งานแบบไหนที่คุณจะยอมทำ รวมทั้งให้เวลากับการศึกษาเกี่ยวกับอาชีพและประเภทของธุรกิจที่ตรงกับความ สนใจและทักษะที่คุณมี วิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการหาข้อมูลเหล่านี้ คือการเข้าไปในอินเทอร์เน็ต คุณจะพบข้อมูลมากมายที่น่าสนใจ หรือไม่ก็หาโอกาสพูดคุยสอบถามจากคนที่ทำงานในสายงานที่คุณสนใจเพื่อหาข้อมูล เพิ่มเติม หรือมากกว่านั้นคุณอาจจะสมัครเรียนในหลักสูตรต่างๆ เพิ่มเติมเป็นต้น

2. อย่ากลัวว่าไม่มีประสบการณ์
นักศึกษาจบใหม่มักกลัวว่าจะไม่มีใครรับเข้าทำงานเพราะยังไม่มีประสบการณ์การ ทำงาน ความคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องนัก ถึงแม้คุณจะเป็นเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน แต่ก็ใช่ว่าคุณไม่มีความสามารถเสียหน่อย เรซูเม่ที่ดีจะทำให้นายจ้างรับรู้ถึงความสามารถที่คุณมี ในการเขียนเรซูเม่นั้น แม้ว่าคุณจะไม่มีประสบการณ์การทำงานแต่คุณสามารถระบุได้ว่า คุณมีทักษะและความสามารถอะไรบ้างที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับงานในตำแหน่ง หน้าที่ที่คุณสมัคร และหากคุณได้งานนี้คุณจะใช้ทักษะและความสามารถต่างๆ ของคุณทำอะไรให้กับบริษัทได้บ้าง เช่น คุณมีความรู้ในเรื่องการบริหารจัดการโครงการ มีทักษะในการสื่อสาร และปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า มีความรู้ทางด้านไอที รวมทั้งความสามารถด้านการขาย สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คุณโดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ ที่เป็นนักศึกษาจบใหม่เหมือนๆ กัน

3. ลงมือทำ
ถ้าคุณรู้สึกชอบหรือสนใจในสิ่งใดๆ ก็ตาม วิธีเดียวที่จะค้นพบว่า นั่นใช่สิ่งที่คุณต้องการจริงๆ หรือไม่ คือการลงมือทำ พิสูจน์มันด้วยตัวคุณเอง เพื่อเรียนรู้ว่าคุณมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด เช่น ลองทำสิ่งนั้นเป็นงานพิเศษนอกเวลางานของคุณ หรือไม่ก็ลงทะเบียนเรียนเพิ่มเติมในวันหยุด ซึ่งอาจจะเป็นหลักสูตรสั้นๆ ก็ได้ การทำเช่นนี้เหมือนกับการที่คุณลองก้าวเท้าเข้าไปข้างหนึ่งเพื่อหยั่งเชิงดู ก่อน หากใช่ก็ก้าวเท้าอีกข้างตามไป แต่หากไม่ใช่ก็เพียงชักเท้ากลับมาเท่านั้นเอง เหนือสิ่งอื่นใด คุณได้รู้จักตัวเองมากขึ้น และรู้จักงานในฝันเพิ่มขึ้นด้วย นี่สิคะที่สำคัญ

4.เคลื่อนไปข้างหน้า
คนบางคนยอมทนอยู่กับงานที่ตัวเอง ไม่ชอบทั้งๆ ที่รู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน เพียงเพราะรู้สึกว่าการอยู่เฉยๆ จะทำให้เขาปลอดภัย จริงอยู่การอยู่นิ่งๆ ย่อมไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น แต่มันก็ทำให้คุณล้าหลัง ในขณะที่คนอื่นก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา อย่าชะล่าใจเชียวนะคะ เพราะศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดคือความเฉี่อยชา ถ้าคุณอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย คุณก็จะไม่มีทางเคลื่อนไปสู่เป้าหมายได้ เช่นเดียวกับการพิชิตงานในฝัน คนที่พยายามเคลื่อนไปข้างหน้า เขาจะค่อยๆ เข้าใกล้เป้าหมายทีละน้อย ส่วนคนที่ไม่ทำอะไรเลย ก็จะไม่มีวันไปถึงฝั่งฝันนั้นได้

5. เริ่มต้นให้ไว
สำหรับหนุ่มสาววัยทำงานช่วงอายุ 20-30 ปีเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการค้นหาตัวเอง ในช่วงนี้อาจจะลองทำงานหลายๆ แบบ เพื่อตอบตัวเองว่า งานแบบไหนที่ใช่ตัวคุณ งานแบบไหนจะทำให้คุณมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงาน รวมถึงการมองเห็นภาพตัวเองในยามเกษียณ ยิ่งคุณเริ่มต้นไว ก็มีโอกาสค้นพบตัวเองได้ไว และเมื่อชัดเจนแล้วว่าคุณต้องการอะไร ทีนี้ก็ใส่เกียร์เดินหน้าล่าฝันกันเลย

6. ค้นหาเป้าหมายของตนเอง
ก่อนจะหางานให้พิจารณาที่ความใฝ่ฝัน/เป้าหมายของชีวิตของตัวเองเสียก่อน แล้วจึงมองหางานที่ตรงกับตัวเอง ผู้สมัครบางคนเมื่อถูกถามว่าเป้าหมายในชีวิตคืออะไร หลายคนมักตอบว่ายังไม่ได้คิด บ้างก็อยู่ระหว่างค้นหา บ้างก็ยังมองไม่ออก คำตอบเหล่านี้ ถ้าคุณเป็นนายจ้างคุณจะรับเข้าทำงานหรือไม่ ? คนที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม เปรียบเสมือนเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล ไร้ทิศทาง ซึ่งก็อาจ ไม่มีวันถึงฝั่งก็ได้ ถ้าไม่มีเป้าหมายในชีวิต การตัดสินใจหรือการดำเนินการใด ๆ ก็จะไม่มั่นคง สะเปะสะปะ โลเล หาแน่นอนมิได้ นายจ้างจะฝากงาน ฝากบริษัทให้คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตดูแลได้นานสักแค่ไหน เดี๋ยวเดียวก็ถูกเหตุการณ์ซัดไปทางโน้นทีทางนี้ที อยู่ได้ไม่นานเพราะไม่มีหลักให้ยึด ที่จริงแล้วหลายบริษัทอาจให้ความสำคัญกับคำถามนี้เป็นอันดับหนึ่งก็ได้ เพราะคนไม่มีเป้าหมายก็มักจะไม่มี Vision เพราะ Vision ที่ชัดเจน จะสร้างเป้าหมายขึ้นมาได้เอง และเหนืออื่นใดการมีเป้าหมาย หมายถึงการมีแรงขับ ถ้าคุณมีแรงขับ ถึงแม้ว่าจะล้มลุกคลุกคลานอย่างไร คุณก็มีโอกาสถึงเป้าหมายได้ ...คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่อยากหรือฝันที่จะยึดอาชีพนั้น ๆ คนที่เก่งแต่ไม่มีเป้าหมาย ถ้าเจออุปสรรคเดี๋ยวก็ถอยหรือเปลี่ยนทิศเพราะขาดหลักยึด ถ้ายึดที่อารมณ์ก็เปลี่ยนได้เสมอแต่ ยึดที่เป้าหมายนั้นเปลี่ยน ยาก ถ้าคุณมีเป้าหมายแล้วก็จะเป็นการง่ายในการกำหนดว่างานไหนควรสมัครและงานไหน ที่อย่าเสียเวลาสมัคร เพราะงานไม่ตรงกับเป้าหมายในชีวิต คุณควรจะศึกษาข้อมูลงาน นั้น ๆ ว่า ส่งเสริมเป้าหมายของชีวิตได้มากขนาดไหน ดูว่า ขอบเขตความรับผิดชอบงาน ,ความท้าทายหรือระบบ การ ทำงาน เป็นอย่างไร เพราะงานนี้อาจจะเป็นพื้นฐานที่จะก้าวไปสู่งานที่คุณใฝ่ฝันในอนาคตก็เป็นได้ นอกจากงานแล้ว คุณยังควรพิจารณาบริษัท โดยดูที่ Vision ของบริษัท , direction ในอนาคต รวมทั้งนโยบายทาง human resources เพราะนโยบายของ human resources นอกจากเป็นตัวแสดงศักยภาพของบริษัทว่ามีความเป็นมืออาชีพมากน้อยแค่ไหน แล้วยังแสดงถึง ความ เอาใจใส่ในการดูแลพนักงานด้วย และถ้าเป้าหมายของชีวิตเข้ากับงานที่สมัคร คุณเองก็จะมีวิธีการ present ตัวเองได้ดีและมีโอกาสถึงชัยชนะ ในที่สุด

คนบางคนโชคดีที่ไปจนถึงความฝัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาอาจพบว่างานในฝันไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบเสมอไป มันเป็นธรรมชาติของงานทุกงานที่บางครั้งก็ราบรื่นดี บางครั้งก็มีอุปสรรคปัญหามากมายจนทำให้ท้อใจ ต้องเข้าใจว่า งานในฝันอาจไม่ใช่ทุกอย่างที่คุณชอบทำ หลายครั้งที่คุณอาจต้องทำในสิ่งที่คุณไม่ชอบด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าคุณชัดเจนว่านี่คืองานที่คุณรัก คุณใฝ่ฝันที่จะได้ทำมัน และคุณมีความสุขที่ได้ทำ คุณก็จะมีพลังสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ

กระแสใหม่ปรับตัวให้ไว...แล้วจะไม่ตกงาน


เรามาดูกันว่า จะปรับตัวอย่างไรหรือน่าจะทำงานตำแหน่งอะไรน่าจะไม่ตกงาน สาขาวิชาชีพที่น่าสนใจ และที่เป็นแนวโน้มที่ได้มีการศึกษาแล้วว่าน่าจะเป็นอาชีพที่มีอนาคต.ข้าง หน้า...

1. ผู้ทำงานด้านธุรการ
จำเป็นต้องมีทักษะในด้านการทำเอกสารเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เช่น การจัดส่ง การรับ e-mail ทักษะในการค้นหาข้อมูล ทำวิจัยข้อมูลเบื้องต้นจากอินเตอร์เน็ต ทักษะการรับโทรศัพท์เชิง CRM (Customer Relationship Management) ความรู้ในการวางแผนและการจัดการด้านงบประมาณ การจัดทำเงินเดือนของพนักงานในบริษัท ทักษะในการจัดเตรียมเอกสารเพื่อการนำเสนอ การประสานงาน การจัดงานโชว์ กล่าวสรุปคือ ต้องทำงานแทนนักบัญชี นักประชาสัมพันธ์ และฝ่ายผลิตสื่อทัศนโสตเบื้องต้น

2. ผู้จัดการผู้ประสานงานด้านการประชุมสัมมนา (Convention Manager)
รูปแบบของธุรกิจที่มีการกระจายศูนย์มากขึ้น มีการแต่งตั้งพันธมิตรทางธุรการ Outsource งานบางอย่างให้กับซัพพลายเออร์นอกองค์กร ทำให้มีการประชุมบ่อยขึ้น จึงจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ประสานงานด้านการวางแผนการจัดการการประชุม สัมมนากับสถานที่ต่าง ๆ การจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน การประสานกับองค์กรต่าง ๆ สมาคมด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดการแข่งขันกีฬากระชับมิตรเพื่อการประชาสัมพันธ์ การดำรงสมาชิกภาพของสมาคม สโมสรต่าง ๆ การจัดหาสถานฝึกอบรม โรงพิมพ์ ประกันสังคม การขนส่ง ประกันภัย และที่สำคัญคือการสันทนาการของผู้ที่เกี่ยวข้อง

3. ผู้เชี่ยวชาญด้าน Web (Web Master)
คงไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าเว็บไซต์ท่าจะกลายเป็นทั้งช่องทางใหม่ในการทำ ธุรกิจ และเป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำธุรกิจอื่น ๆ ขององค์กรต่าง ๆ เหมือนกับที่โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจจะต่าง ตรงที่เว็บไซต์เป็นมากกว่าเครื่องมือ คือยังเป็นเหมือนโชว์รูม หรือเซลล์แมนไปในตัวฉะนั้น ตำแหน่งเกี่ยวกับเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ไม่จำกัดเฉพาะทางด้านเทคนิคเท่านั้น อย่างเช่น งานการประสานงาน การปรับเปลี่ยน เนื้อหา หรือภาพของเว็บ การประสานงานกับหน่วยงานด้านธรุกิจอื่น ๆ เช่น ร้านค้า การให้บริการธุรกิจต่าง ๆ เป็นงานที่มีการขยายตัวสูง และผู้ที่ทำงานในตำแหน่งเหล่านี้มีโอกาสพัฒนาไปเป็นผู้บริหารระดับสูงเนื่อง จากมีความจำเป็นในการวางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับเว็บไซต์มากขึ้น

4. ผู้จัดการด้านคอมพิวเตอร์
ความสำคัญของคอมพิวเตอร์ที่มีมากขึ้นในหน่วยงาน ทำให้จำเป็นต้องมีคนทำงานในฝ่ายนี้มากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีผู้จัดการ ผู้ประสานงานเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ในด้านนี้ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเกี่ยวกับการติดตั้ง ระบบรักษาความปลอดภัย งานด้านการป้องกันการเจาะระบบของผู้ไม่หวังดี ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ งานด้านสารสนเทศรวมทั้งงานด้านธุรการต่าง ๆ ในฝ่ายทักษะความสามารถในการปฏิบัติงานด้านนี้ จึงไม่จำกัดอยู่แค่ด้านเทคนิคอย่างเดียวต่อไป แต่จำเป็นต้องมีทักษะความสามารถในด้านการจัดการด้านบุคลากรอีกด้วย

5. ผู้เชี่ยวชาญในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ให้กับหน่วยงาน
งานการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ก็เป็นอีกงานหนึ่งที่กลายเป็นงานประจำของหน่วยงาน ต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากในอดีต ที่นานทีปีหนถึงจะมีงานพิมพ์สักชิ้น เมื่องานผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ มีมากขึ้น การส่งงานไปพิมพ์ภายนอกมักจะช้าไม่ทันกับความต้องการ จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานทำเอง ยิ่งกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงแผนงาน รายละเอียดของสินค้าและบริการที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นยิ่งทวีความจำเป็น ที่ต้องมี IN House ในด้านนี้มากขึ้น

6. วิศวกรสิ่งแวดล้อม
วิศวกรสิ่งแวดล้อมมีความจำเป็นเหมือนกับวิศวกรคุณภาพ ที่เริ่มเฟื่องฟูเมื่อเร็ว ๆ นี้ เมื่อองค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมก็เช่นกัน กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการทำธุรกิจ เนื่องจากแรงบีบคั้นจากประชาคมโลกที่ต้องการให้องค์กรต่าง ๆ มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น งานด้านนี้ เป็นงานเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาในเรื่องของกฏระเบียบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ให้มีมาตรฐานอย่างเช่น กากทิ้งของเสียก็ต้องทิ้งให้ถูกที่ถูกทางตามที่กฏหมายระบุไว้หรือการจัดสภาพ แวดล้อมการทำงานให้มีความน่าอยู่ น่าทำงาน

7.ผู้บริหารระดับสูงในเรื่องวิศวกรรมคุณภาพ
การควบคุมคุณภาพสินค้าหรือบริการกลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของความอยู่รอด ของธุรกิจ ความจำเป็นในการพัฒนางานของฝ่ายนี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การมีวิศวกรคุณภาพ เท่านั้น แต่หมายถึงงานทั้งระบบ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้บริหารระดับสูงในการกำหนดนโยบาย เหมือนกับที่มีผู้บริหารระดับสูงในฝ่ายการเงิน และฝ่ายการตลาด ความรับผิดชอบในด้านนี้คือ การตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบในการผลิต หามาตรการหรือวิธีการใหม่ ๆ ในการปรับปรุงคุณภาพให้ได้มาตรฐานซึ่งครอบคลุมถึงด้านความปลอดภัย สุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม

8.ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการล้มละลาย
ในการทำธุรกิจที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง ทำให้มีจำนวนบริษัทที่ประสบปัญหาถึงขั้นล้มละลายมีมากขึ้น ยิ่งประกอบกับภาวะผันผวนของเศรษฐกิจโลก วงจรของธรุกิจที่สั้นลง เรื่องการล้มละลายของธุรกิจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และกลายเป็นส่วน หนึ่งของนักธุรกิจ ในอนาคตผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์กับการล้มละลายเห็นทีจะหายาก ในสถานการณ์แบบนี้จึงทำให้เกิดอาชีพคนกลางในการประสานงาน ระหว่างเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และลูกจ้างในองค์กรที่ล้มละลายเพื่อให้แต่ละฝ่ายสามารถได้รับส่วนแบ่งของตน อย่างเป็นธรรม ซึ่งตำแหน่งงานนี้ เป็นคนละตำแหน่งกับนักกฏหมาย แต่เป็นงานที่ต้องประสานงานกับนักกฏหมาย การรายงานของผู้ปฏิบัติงาน ในตำแหน่งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาถูกว่าจ้างมาจากฝ่ายใด อาจจะเป็น เจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือจากฝ่ายรัฐ

9.เจ้าหน้าที่ประสานงานด้านสิทธิประโยชน์ (Utilization Review Co-ordinators)
ตำแหน่งงานด้านนี้อาจจจะฟังแปลกหูสักหน่อย แต่เนื่องจากการจ้างงานแบบชั่วคราวที่มีมากขึ้น ถึงแม้ผู้ที่เป็นลูกจ้างประจำ ก็มีสภาพไม่มั่นคงเหมือนกับพนักงานชั่วคราวเช่นกัน ประจวบกับขนาดขององค์กร ที่นับวันจะเล็กลง โดยการ Subcontract งานบางอย่างให้กับหน่วยงานภายนอก รวมถึงงานด้านสุขภาพอนามัย งานในด้านนี้จึงเป็นเหมือนงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพยาบาลที่เป็นผู้ประสานงานใน เรื่อง การรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการกรอกแบบฟอร์มรายละเอียด การเคลมประกัน การเก็บรวบรวมสถิติ โดยอาจจะมานั่งทำงานในองค์กรของเราให้กับหน่วยงานเกี่ยวกับสุขภาพ หรือบริษัทประกันภัย หรืออาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานภายนอกที่เวลาเราต้องการใช้บริการจึงจะไป ติดต่อ

10.ที่ปรึกษาด้านสินเชื่อ ส่วนบุคคล
ในขณะนี้ บริษัทที่ให้สินเชื่อ แก่ผู้บริโภคทั่วไปอย่างบริษัทอิออนและอีกหลายบริษัทที่เกิดขึ้นมา โดยให้บริการตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เพื่อให้คำปรึกษาในการขอสินเชื่อ อันเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มยอดขายสำหรับผู้ที่ไม่มีเงินสดในมือ ซึ่งบริการเหล่านี้เริ่มเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้น ความต้องการเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ และการให้คำแนะนำแก่ลูกค้าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มยอดขายกับสถาน ประกอบ การจัดการงบประมาณ การช่วยเจรจา ในการขอวงเงินสินเชื่อ

11.ผู้ประสานงานในการโยกย้ายถิ่นฐาน
การเคลื่อนย้ายแหล่งที่ทำงานจะมีมากขึ้นทำให้มีความต้องการผู้เชี่ยวชาญใน การให้ความช่วยเหลือและให้การแนะนำในการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมต่างถิ่นที่ ทำงาน รายละเอียดเกี่ยวกับกฏหมายการหาสถานศึกษาให้กับบุตรหลาน การหาบ้าน การหายานพาหนะ ฯลฯ กิจกรรมที่มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายทำให้เกิดอาชีพใหม่ ๆ

12.ผู้ประสานงานอาสาสมัคร
ในโลกที่โอกาสทางธุรกิจอาจทำให้คนคนหนึ่งสามารถกลายเป็นเศรษฐีใหม่ในชั่ว ข้ามคืนซึ่งเศรษฐีใหม่เหล่านี้อาจจะเป็นผู้ใจบุญสุนทานจริง ๆ เนื่องจากพ้นสภาพยากจนมาไม่นานเลยมีความรู้สึกเห็นใจผู้ด้อยโอกาสกว่าหรือ เศรษฐกิจเหล่านี้ต้องการลดการเสียภาษี จึงทำให้ผู้ที่มีอาชีพทำงานให้องค์กรไม่มุ่งเน้นผลกำไรเกิดขึ้น ซึ่งงานในหน้าที่ของอาชีพเหล่านี้ คือ งานด้านการรับสมัครคัดเลือกผู้ที่ต้องการขอทุน การฝึกอบรม และกิจกรรมสวัสดิการสังคมอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับด้านที่ไม่มุ่งผลกำไร

13.ผู้รวจสอบคุณภาพวิชาชีพ (Credentialer and credential specialists)
จากความเฟื่องฟูของอาชีพรับงานอิสระ (freelance) การผ่อนคลายกฏระเบียบ พร้อม ๆ กับการกำหนดกติกาในการกำหนดมาตรฐานของวิชาชีพต่าง ๆ ทำให้มีอาชีพในการช่วยตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครงานก่อนการจ้างงาน ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีคุณสมบัติในการออกใบรับรองผู้อื่นที่ผ่านการทดสอบมาตรฐาน ทางวิชาชีพต่าง ๆ ถ้าจะเปรียบเทียบแล้วเหมือนกับผู้ตรวจสอบบัญชี แต่นั่นเป็นการตรวจสอบระบบ โดยผู้ตรวจสอบต้องผ่านการฝึกอบรมมาจนได้มาตรฐานหรือเหมือนกับสภาวิศวกรรม ที่เป็นสถาบันออกใบ กว.( ใบประกอบวิชาชีพ) สำหรับวิศวกรหรือผู้ที่ไม่ได้จบทางวิศวกรรมโดยตรงแต่มีพื้ฐานการศึกษา หรือประสบการณ์ในการทำงานที่พอจะเทียบให้มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับวิศวกร หรือ อย่างแพทยสภาที่เป็นสถาบันในการตรวจสอบคุณสมบัติของคนที่ประกอบวิชาชีพแพทย์

14.ผู้ฝึกสอนวิชาชีพ (Job Coaches)
สังคมที่ให้โอกาสแก่คนพิการมากขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้ให้คำปรึกษาเรื่องอาชีพการงานแก่คนพิการซึ่งรวมทั้ง เรื่องสวัสดิการของคนงาน ปกติการจัดหางานให้คนต้องการเปลี่ยนงานอันเนื่องมาจากความสมัครใจ หรือถูกให้ออกจากงานเดิมเนื่องจากตำแหน่งของอาชีพเดิมถูกยกเลิกไปหรือล้า สมัยไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน อย่างตำแหน่งคนส่งเทเล็กซ์ หรือตำแหน่งคนสลับสายโทรศัพท์ในชุมสาย เป็นต้น

15.ผู้บริหารฝ่ายพัฒนา
ผู้บริหารฝ่ายพัฒนานอกจากจะมีตำแหน่งในด้านการพัฒนาธุรกิจแล้วในปัจจุบันยัง มีผู้บริหารฝ่ายพัฒนาด้านการจัดหาเงินทุน หรืออีกนัยหนึ่งคือ Venture Capitalist ประจำบริษัท ในการจัดหาผู้ร่วมทุนในทางธุรกิจ อย่างที่เรียกว่า Business Alliance ซึ่งตำแหน่งนี้ไม่เพียงแต่จะมีในหน่วยงานธุรกิจทั่วไป แต่ยังรวมถึงองค์กรการกุศลต่าง ๆ ที่ช่วยในการระดมทุนเข้ามาสนับสนุนกิจกรรมถ้าจะว่าไปแล้ว เหมือนกับผู้ที่ทำหน้าที่ในการหาเงินทุนสนับสนุนการแข่งขันหาเสียงเลือกตั้ง ในการสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา


วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หวั่น 5-10 ปีเมืองไทยขาดน้ำกินน้ำใช้ ลุ้นปัดฝุ่น เขื่อนแก่งเสือเต้น แก้วิกฤติ


จากภาวะสถานการณ์ภัยแล้งที่นับวันจะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมากขึ้น ทุกขณะ ผนวกกับความต้องการใช้ทรัพยากรน้ำเพิ่มปริมาณสูง จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการแสวงหาแหล่งเก็บกักน้ำใหม่ให้เพียงพอต่อการใช้ อุปโภคบริโภค

จากการประชุมเรื่องบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยมี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน หารือร่วมกับ นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ และนายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน ได้ข้อสรุปตรงกันว่า ในอนาคตประเทศไทยทั้งพืชอาหารและพืชพลังงานส่อเค้าขาดแคลนน้ำมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า อาจขาดแคลนน้ำเข้าขั้นวิกฤติ จึงมีความจำเป็นในการหาแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้น ด้วยการสร้างเขื่อนขยายใหญ่มารองรับ เช่น เขื่อนแก่งเสือเต้น จ.แพร่ เขื่อนแม่วงศ์ จ.นครสวรรค์ เขื่อนลำชีบน จ.ชัยภูมิ เขื่อนโปร่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ ทั้งหมดสามารถกักเก็บน้ำได้เกือบ 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร

แน่นอนว่าการสร้างเขื่อนหลาย ๆ แห่งล้วนเป็นโครงการในระยะยาว โดยเฉพาะกรณี “เขื่อนแก่งเสือเต้น” นั้นเป็นเผือกร้อนให้หลาย ๆ รัฐบาลมาแล้ว หากคิดจะเดินหน้าโครงการนี้จริง รัฐบาลก็คงต้องเหนื่อยหนัก เพราะต้องฝ่าด่าน “คัดค้าน” จากชาวบ้านในพื้นที่และกลุ่มอนุรักษ์ที่จะออกมาเคลื่อนไหวในทันที หากมีการพิจารณาสร้างเขื่อนแห่งนี้ทุกครั้ง

จากข้อมูลของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการศึกษาและพิจารณาโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นมานานแล้ว โดยเริ่มจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สำรวจโครงการลุ่มน้ำปิง-ยม-น่าน ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย. 23 และทำการทบทวนแผนงานก่อนส่งมอบให้กรมชลประทานในเดือน ธ.ค. 28 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ศึกษาข้อดี-ข้อเสียและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้วเสร็จใน เดือน พ.ค. 32 ก่อนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เสนอผลการศึกษาผลกระทบในการสร้างเขื่อนในเดือน เม.ย. 34 และกรมชลประทานได้ส่งแผนโครงการให้รัฐบาล พิจารณาอีกครั้งในเดือน ก.ค. 37

คณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมมีมติให้ ตั้งอนุกรรมการเฉพาะกิจเดือน ก.ย. 38 และ มีการจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาด้านระบบนิเวศเพิ่มเติมในเดือน มี.ค. 39 และเดือน พ.ค. ปีเดียวกัน กรมทรัพยากรธรณีจ้างบริษัทเอกชนศึกษากรณีแผ่นดินไหว เพื่อประกอบการพิจารณาโครงการหากเกิดกรณีภัยพิบัติขึ้นจริง ๆ

จากนั้นขั้นตอนงานศึกษาและพิจารณาโครงการแก่งเสือเต้นก็ทำท่าจะเป็นรูปธรรม มากขึ้น โดย จ.แพร่ ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศึกษาการอพยพและตั้งถิ่นฐานใหม่ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้าง เขื่อนแก่งเสือเต้นในเดือน ก.ย. 39 ท่ามกลางกระแสคัดค้านของกลุ่มอนุรักษ์และประชาชน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีการจ้างมหาวิทยาลัยมหิดลทำการศึกษาด้านสาธารณสุข อีกด้วย

ต่อมามติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 พ.ย. 39 ให้กรมชลประทานออกแบบและก่อสร้างโครงการแก่งเสือเต้น แต่ก็ต้องล้มไม่เป็นท่า เมื่อโดนต่อต้านอย่างหนัก จนคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 40 เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในโครงการ

กระทั่งคณะกรรมาธิการวิสามัญสภา ผู้แทนราษฎรมีมติสนับสนุนให้ก่อสร้างเขื่อน กระทั่งวันที่ 24 มี.ค. 41 คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณให้กรมชลประทานจ้างผู้เชี่ยวชาญศึกษาและทบทวน โครงการใหม่ จากนั้นไม่นานโครงการนี้ก็ต้องพับเก็บไป ไม่ว่ารัฐบาลใดที่หยิบยกโครงการนี้ปัดฝุ่นขึ้นมาใหม่ มักอยู่ไม่ได้นาน เพราะถูกต่อต้านและประจาน จนกลายเป็นตำนานอาถรรพณ์ของเขื่อนแก่งเสือเต้นไปแล้ว

แต่ถ้าหากมองลึก ๆ แล้วระหว่างข้อดี-ข้อเสียของโครงการนี้ ถ้าการดำเนินงานโปร่งใสตรวจสอบได้ชัดเจนทุกขั้นตอน มองในแง่ดีว่าโครงการนี้มีประโยชน์มากในแง่ของการกักเก็บน้ำและแก้ปัญหาน้ำ ท่วมพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างอย่างเป็นรูปธรรม ย่อมดีกว่าปล่อยให้น้ำฝน น้ำป่าที่ไหลหลากตามฤดูกาลสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน และสุดท้ายก็ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาไหลออกทะเล ปริมาณน้ำมหาศาล เหล่านี้หากเก็บเพื่อไว้ใช้หน้าแล้งจะมีประโยชน์ต่อการเกษตร การเพาะปลูกพืชผลผลิตและอื่น ๆ อีกมากมาย


หากมองในข้อเสียก็มีเช่นกัน กรณีผลกระทบระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือ ป่าไม้ อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องอนุรักษ์จะต้องถูกตัดโค่นทำลายลงไปจำนวนมาก รวมทั้งวิถีชีวิตชาวบ้านในพื้นที่ก็ต้องเปลี่ยนไปและย้ายแหล่งที่อยู่ใหม่ แม้รัฐบาลมีแผนรองรับในการจัดสรรที่ดินทำกินใหม่ให้แล้วก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ไม่อยากจากแผ่นดินเกิดไปง่าย ๆ

ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น ก็เพื่อบริหารจัดการน้ำโดยกักเก็บปริมาณน้ำในลุ่มน้ำยมตอนบน ซึ่งมีปริมาณมากในช่วงฤดูฝน ไว้ใช้ในฤดูแล้ง เพื่อการเพาะปลูก และอุปโภค-บริโภค รวมทั้งการบรรเทาอุทกภัยในเขตพื้นที่ จ.แพร่ จ.สุโขทัย จ.พิษณุโลก และ จ.พิจิตร ที่เกิดขึ้นเป็นประจำเกือบทุกปี

เขื่อนแก่งเสือเต้น เป็นโครงการก่อสร้างในลำน้ำยมที่พิกัดเส้นรุ้ง 18038’ เหนือ และเส้นแวง 100010’ ตะวันออก เหนือจุดบรรจบแม่น้ำยมและแม่น้ำงาวไปทางเหนือประมาณ 7 กิโลเมตรในเขต อ.สอง จ.แพร่ ห่างจากตัวเมืองแพร่ไปทางเหนือประมาณ 50 กิโลเมตร

พื้นที่รับน้ำฝนที่ตำแหน่ง ณ ที่ตั้งเขื่อนกินอาณาเขต 3,583.0 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่าง เฉลี่ยรายปี (37 ปี) ประมาณ 931.7 ล้านลูกบาศก์เมตร หากปริมาณฝนตกเฉลี่ยรายปี (10 สถานี) ประมาณ 1,201.2 มิลลิเมตร และมีปริมาณน้ำนองสูงสุดที่อาจเป็นไปได้ (PMF) เฉลี่ย 8,571.2 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

หากการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นเป็นผลสำเร็จ พื้นที่ได้ประโยชน์ด้านการป้องกันอุทกภัย ได้แก่ บริเวณริมแม่น้ำยม ในเขต อ.สอง อ.เมือง อ.เด่นชัย จ.แพร่ จ.สุโขทัย อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก อ.สามง่าม อ.โพธิ์ทะเล อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์

หากรัฐบาลนี้ปัดฝุ่นโครงการสร้าง “เขื่อนแก่งเสือเต้น” ขึ้นมา หากทำได้สำเร็จก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะเป็นทางเลือกใหม่แก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมในอนาคต แต่ถ้าถูกต่อต้านหนักหน่วงจนต้องพับไปอีกก็ช่วยไม่ได้ เพราะอาถรรพณ์แก่งเสือเต้นนี้เฮี้ยนจริง ๆ เสียด้วย.

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

DAM : เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเขื่อน


บ่อยครั้ง...เมื่อ ถึงหน้าน้ำหลากหรือมีเหตุการณ์แผ่นดินไหว กระแส ข่าวลือเขื่อนแตก มักสร้างความ กังวลใจให้กับบรรดาผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง

เพื่อสร้างความมั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยของเขื่อน เทคโนโลยีระบบการสื่อสารรวมถึงการจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ

ล่าสุด...เนคเทคหรือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือ กฟผ. จัดนำเสนอและสาธิตผลงานวิจัย “DAM” ระบบการสื่อสารและจัดเก็บข้อมูลชุดตรวจวัดแรงดันน้ำของเขื่อนรัชช ประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้กับตัวแทนจากประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน เพื่อแสดงถึงศักยภาพของการประเมินถึงความปลอดภัย และมั่นคงของเขื่อน

และที่สำคัญเป็นผลงานของนักวิจัยไทย ที่ประหยัดงบประมาณและช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

“ดร.กนกเวทย์ ตั้งพิมลรัตน์” ผู้อำนวยการหน่วยปฏิการวิจัยพัฒนาการ ควบคุมและระบบอัตโน มัติทางอุตสาหกรรม เนคเทค บอกว่า เนื่องจากทาง กฟผ. มีความต้องการจะติดตั้งระบบอัตโน มัติ เพื่อช่วยดูแลความปลอดภัยและความมั่นคงของเขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน โดยอาศัยการวัดค่าต่าง ๆ ในบริเวณเขื่อน เช่น การวัดระดับน้ำใต้ดิน ในหลุม วัด การวัดแรงดันของหัววัดที่ติดตั้งที่ตัวเขื่อน การคาดเดาปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ

ที่ผ่านมา กฟผ.ใช้บุคลากรทำการวัดค่าต่าง ๆ ด้วยมือ ซึ่งใช้เวลามาก ข้อมูลที่ได้ไม่ใช่ข้อมูล ณ เวลาจริง รวมถึงเสียเวลาในการป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทำการวิเคราะห์ ทำให้มีข้อจำกัดในการประเมินถึงความมั่นคงและความปลอดภัยของเขื่อน


ระบบดังกล่าว หากนำเข้าจากต่างประเทศ ดังเช่นที่นำมาใช้ที่เขื่อนวชิราลงกรณ หรือเขื่อนเขาแหลม จะมีราคาสูงถึง 60 ล้านบาท นอกจากนั้นหลังจากใช้มาแล้ว 10 ปี ปัจจุบันอุปกรณ์บางส่วนเริ่มชำรุด ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงหรือปรับปรุงแก้ไขนั้นก็สูงร่วม 10 ล้านบาททีเดียว

เนคเทคโดยหน่วยปฏิบัติการวิจัยพัฒนา การควบคุมและระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม จึงพัฒนาระบบสื่อสารและจัดเก็บข้อมูลชุดตรวจวัดแรงดันน้ำของเขื่อนหรือแดม (DAM) ขึ้นมา โดยต่อยอดพัฒนาจากองค์ความรู้ด้านการสื่อสารที่มีอยู่ ซึ่งเรียกว่าสกาด้า (SCADA) โดยพื้นฐานตัวระบบดังกล่าวจะ ประกอบไปด้วย หน่วยวัดคุมระยะไกลหรือเรียกสั้น ๆ ว่า RTU เซ็นเซอร์หรือหัววัดค่าต่าง ๆ เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ และระบบการสื่อสารซึ่งมีทั้งแบบไร้สายคือ ผ่านระบบจีพี อาร์เอสของมือถือและแบบใช้สายคือผ่านเทคโนโลยีไฟเบอร์ ออพติค
ด้าน ดร.อุดม ลิ่วลมไพศาล นักวิจัยผู้รับผิดชอบโครงการอธิบาย ถึงการทำงานของระบบดังกล่าวว่า ระบบรักษาความปลอดภัยของเขื่อนเดิมในระบบแมนนวลหรือใช้คนวัด จะมีหลุมวัด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 นิ้วจำนวนมาก ซึ่งมีความลึกกว่า 100 เมตร ใช้เครื่องมือแบบการวัดค่าความสูงของระดับน้ำ เมื่อเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติ ได้ใช้เป็นหัววัดเซ็นเซอร์ แทน โดยแช่ทิ้งไว้ที่ก้นหลุม ส่งข้อมูลผ่านสายทองแดงไปยัง RTU ที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลก่อนที่จะส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ โดยผ่าน สายไฟเบอร์ ออพติคเป็นหลัก ส่วนจีพีอาร์เอส ใช้เฉพาะจุดที่อยู่ห่างไกล ทั้งนี้ RTU แต่ละตัว สามารถรับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ได้ 1-2 หลุม ข้อมูลที่ได้จะนำส่งไปยังระบบวิเคราะห์ความปลอดภัย และมั่นคงของเขื่อนต่อไป สามารถติดตามดูข้อมูลได้แบบเรียล ไทม์และทำรายงานสรุปเป็นภาษาไทยได้

ปัจจุบัน เนคเทคติดตั้งระบบดังกล่าวไปแล้ว 12 ตู้ RTU ครอบคลุมการสื่อสารข้อมูลจาก 19 หลุมที่มีตัววัดหรือเซ็นเซอร์ ใช้งบประมาณไปแล้ว 9.9 ล้านบาท เริ่มใช้งานอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2551
สำหรับผลการใช้งาน นายมะโนช มากจันทร์ หัวหน้ากองบำรุงรักษาโยธา เขื่อน รัชชประภา บอกว่า เนื่องจากเขื่อนนี้เป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียว มีลักษณะพิเศษ ตามภูมิประเทศที่สวยงาม จึงมีการก่อสร้างเป็นเขื่อนหลัก เขื่อนรองและเขื่อนย่อย ๆ ตามหุบเขาอีกจำนวนมาก ระยะทางกว่า 7 กิโลเมตร เดิมเมื่อใช้การเก็บข้อมูลด้วยคนต้องเสียเวลาไม่ต่ำกว่า 2 วันในการเก็บแต่ละครั้ง ข้อมูลที่ได้จึงไม่เรียลไทม์ ระบบนี้เข้ามาช่วยได้มาก ซึ่งทาง กฟผ. มีแผนติดตั้งเพิ่มเติม โดยภายในปี 2555 จะทำการติดตั้งตู้ RTU จนครบ 27 หลุมเซ็นเซอร์รอบตัวเขื่อนหลักและเขื่อนรอง

นอกจากนี้ ยังมีโครงการต่อเนื่องให้เนคเทค พัฒนาและปรับปรุงระบบอัตโนมัติให้กับเขื่อนวชิรา ลงกรณอีกด้วย

เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเขื่อน ย้ำความมั่นใจถึงความปลอดภัยของตัวเขื่อน เพราะนอกจากเขื่อนนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากปรากฏ การณ์แผ่นดินไหว และมีเทคโนโลยีมาช่วยในการตรวจสอบแล้ว เขื่อนรัชชประภา ซึ่งใช้งานมาเกือบ 30 ปี กว่าจะหมดอายุการใช้งาน ยังต้องใช้เวลาชั่วลูกชั่วหลาน นานถึง 5,400 ปีทีเดียว!!!

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สังคม ไทย...ยุคตั้งใจทำความชั่ว!!

โดย สำราญ รอดเพชร
“คนไม่ได้ทำชั่วเพราะคิดว่านั่นเป็นความชั่ว หากแต่เพราะคิดว่านั่นจะทำให้เขาได้ประโยชน์..”

แมรี วอลล์สโตนคราฟท์/นักคิดนักเขียนชาวอังกฤษ (2302 -2340).

-1-

เพิ่งจะออกมาจากความครุ่นคิดคำนึงจากการเข้าไปดูคลิปการอ่านบทกวีของหนุ่ม นราธิวาส “ซะการีย์ยา อมตยา” กวีซีไรต์คนล่าสุดจากบทกวีรวมเล่มชื่อ “หญิงสาวในบทกวี” อุ๊ย! ไม่ใช่ “บทกวีในหญิงสาว” ไม่ใช่อยู่ดี “ในหญิงสาวบทกวี” ก็ยิ่งไม่ใช่ ต้อง “ในบทกวีหญิงสาว” อ้าว! ไม่ใช่อีก งั้นต้อง “กวีบทในหญิงสาว”...ว้า! นี่ก็ไม่ใช่...

เขาตอกแป้นพิมพ์พ่อ
หญิงสาวในความคิด
ความคิดในหญิงสาว
บทกวียังไม่จบ
แต่เขาเห็นหญิงสาวแล้ว!

……………….

ยอมรับว่ากวีไรต์ฉันทลักษณ์หรือกลอนเปล่าของคุณน้อง “ซะการีย์ยา อมตยา” ชุด “ไม่มีหญิงสาวในบทกวี” บาง ชิ้นบางบทโดนใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ขอแสดงความยินดีกับรางวัลซีไรต์ที่ได้รับ ส่วนอีก 4 กวีนิพนธ์ที่เข้ารอบก็ดีๆ ทั้งนั้น มันแล้วแต่ว่ากรรมการปีไหนจะมุ่งเน้นหรือมีฉันทามติร่วมกันอย่างไร...

นี่ถ้าลองให้โหวตกันดูว่า ตั้งแต่มีกวีซีไรต์มา เล่มไหนที่คุณชอบที่สุด กรรมการหรือพวกเราเองก็คงโหวตไปคนละทาง อย่างผมก็ต้องโหวตให้ “เพียงความเคลื่อนไหว” ของคุณพี่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์...

คิดไปคิดมาก็แอบบอกตัวเองว่าถ้า 20 กว่าปีที่ผ่านมาเอ็งไม่วางปากกายัง เดินหน้าเขียนกวีนิพนธ์ป่านนี้อาจแซงคิว “ไม่มีหญิงสาวในบทกวี” ไปแล้วก็ได้ ไม่ต้องกลายเป็นกวีซีฟู้ดอย่างทุกวันนี้...

ดังนั้น ใครที่คิดการใดจะทำการใดให้สำเร็จก็ต้องมุ่งมั่น และดำรงเป้าหมาย อย่าได้เปลี่ยนเส้นทางกันบ่อยๆ แม้สุดท้ายอาจจะไม่ได้รับรางวัลทางสังคม แต่ความสำเร็จจะเป็นรางวัลที่เราได้มอบให้กับชีวิตเราหรือแม้กระทั่ง สังคม...

-2-

อ่านบทกวีของ “ซะการีย์ยา อมตยา” และคนอื่นๆ แล้วก็นั่งขบคิด เล่นกับความคิดของตัวเองหลายเรื่อง รวมทั้งคำคมคารมปราชญ์

“คนไม่ได้ทำชั่วเพราะคิดว่านั่นเป็นความชั่ว หากแต่เพราะคิดว่านั่นจะทำให้เขาได้ประโยชน์” ที่หยิบยกมาตอนต้น

เบื้องต้นก็ถามว่าคำกล่าวดังกล่าวถูกต้องหรือไม่....เริ่มจากตัวเอง ถามว่าเคยทำชั่วไหม บอกตรงๆ ผมไม่อยากยอมรับแม้สักนิดเดียวว่าผมเคยทำความชั่ว แต่ถามว่าเคยทำผิดไหม ตอบว่ามี...ถามว่าเคยทำผิดศีล 5 ไหม ตอบว่าบ่อย โดยเฉพาะข้อ 1 ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และข้อ 5 สุราเมรัย...ถ้าทำผิดศีล 5 แล้วเป็นการทำชั่ว ผมก็ต้องยอมรับ ถ้าเอาความคิดของ “แมรี วอลล์สโตนคราฟท์” เข้ามาจับก็อาจจะถูกตรงที่ว่าขณะเราทำผิดศีล 5เราไม่ได้รู้สึกว่าเราทำชั่ว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเราจะได้ประโยชน์จากการทำความชั่วดังกล่าว..เอ๊ะ! หรือว่าจริงๆ แล้วเราได้ประโยชน์.!?

หยิบยกปรัชญาของ “แมรี วอลล์สโตนคราฟท์” มา หาใช่เพราะผมได้ศึกษาปรัชญาความคิดของนักเขียนนักสู้สตรีท่านนี้มาอย่างลึก ซึ้งอะไรหรอก บังเอิญได้อ่านงานเขียน งานบรรยายชุด “คุณธรรม จริยธรรมของผู้นำ” ของ อ.วิทยากร เชียงกูล ที่ หยิบยกชื่อเธอขึ้นมา พอเข้าไปค้นคว้าดูจึงรู้ว่าเธอเป็นนักสู้นักปรัชญาสายเฟมินิสม์ ที่เรียกร้องสิทธิสตรีคนแรกๆ ของโลกหรือเมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว...

เธอนี่แหละที่ควรจะเป็น “หญิงสาวในบทกวี” คนหนึ่งคนสำคัญ ที่โลกจะต้องจดจารึก...

-3-

ต่อเนื่องจาก “คนไม่ได้ทำชั่ว เพราะคิดว่านั่นเป็นความชั่ว หากแต่เพราะคิดว่านั่นจะทำให้เขาได้ประโยชน์” อ.วิทยากร เชียงกูล บอกว่า ดังนั้นสังคมต้องปฏิรูปให้คนเข้าใจประโยชน์ของความดีโดยตัวของมันเอง คือทำดีแล้วตัวเราและลูกหลานได้ประโยชน์ร่วมกันด้วย

แล้ว อ.วิทยากรก็ยกตัวอย่างไปไกลถึงการปราบคอร์รัปชันของประเทศสิงคโปร์ “เนื่องจากสิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ ไม่มีทรัพยากร ประชากรต้องมีเรื่องค้าขาย การขายบริการต่างๆ ท่าเรือ, ศูนย์การกระจายสินค้า ศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค ความโปร่งใสเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ทุกคนในชาติอยู่รอด ต้องร่วมมือกันปราบคอร์รัปชันเอาจริงเอาจัง ทำให้เป็นเรื่องเสี่ยงต้นทุนสูง การทำงานซื่อตรงมีโอกาสได้ประโยชน์ร่ำรวยอย่างปลอดภัยมากกว่า....”

ถ้าเราไม่คิดจุกจิกหรือละเอียดยิบจนเกินไป ผมว่าปรัชญาวาทะของ “แมรี วอลล์สโตนคราฟท์” มองมนุษย์อย่างเข้าใจและเป็นไปในแง่บวก คล้ายๆ กับที่เราๆ ท่านๆ จะได้ยินว่า มนุษย์เกิดมาเหมือนผ้าสีขาว แต่ต่อมาสภาพแวดล้อมสภาพสังคมทำให้ผ้าขาวเปลี่ยนสี...

แต่อย่างไรก็ตาม ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่า หากนำปรัชญาวาทะดังกล่าวมาใช้กับนักการเมืองไทย ข้าราชการ ตลอดจนนักธุรกิจของไทยในยามนี้ พ.ศ.นี้จะถูกต้องหรือไม่ เพราะการทำชั่วต่อบ้านเมืองโดยการทุจริตโกงกินนั้น หลายต่อหลายโครงการ นักการเมืองชั่ว ข้าราชการเลว พ่อค้าขี้โกง มันสมคบคิดกันทำชั่วอย่างไม่มียางอาย ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่านั่นคือความชั่ว...

หรือการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการครั้งแล้วครั้งเล่า นักการเมืองบางเผ่าพันธุ์มันก็รู้ว่าไม่มีความชอบธรรม ขาดคุณธรรมจริยธรรม แต่กูจะเอาเสียอย่าง เพราะกูจะเอามัน (ข้าราชการ) มาทำชั่วให้กูได้รับผลประโยชน์ต่อไปในอนาคต...

หรือปัญหาต่างๆ ในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้เราจะพบว่า..คนจำนวนมากตั้งใจจะทำความผิด ทำความชั่ว ด้วยความเชื่อว่าทำความชั่วแล้วจะได้รับประโยชน์ ทำความดีนั่นไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ดี ได้ประโยชน์ตอบแทน

ถ้า “แมรี วอลล์สโตนคราฟท์” ฟื้นชีวิตขึ้นมาได้ในพ.ศ.นี้ เธออาจต้องเปลี่ยนปรัชญาวาทะของเธอใหม่แล้วมอบให้กับเมืองไทยของเราเป็นการ เฉพาะ จาก “คนไม่ได้ทำชั่วเพราะคิดว่านั่นเป็นความชั่ว หากแต่เพราะคิดว่านั่นจะทำให้เขาได้ประโยชน์..” เป็นว่า.....

ท่านผู้อ่านช่วยคิดแทนเธอ ช่วยคิดแทนผมที่จะต้องคิดแทนเธอด้วยเถิด...!!

บั้งไฟพญานาค

ลูกไฟแดงอมชมพู ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง สู่ท้องฟ้าในวันออกพรรษา ที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เห็นจนชินและเรียกสิ่งนี้ว่า “บั้งไฟพญานาค” เพราะลูกไฟที่ว่านี้จะเป็นลูกไฟ สีแดงอมชมพู ไม่มีเสียงไม่มีควัน ไม่มีเปลว ขึ้นตรง ไม่โค้งและตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วไป จะดับกลางอากาศ สังเกตได้ง่ายจากลูกไฟทั่วไป จะเกิดขึ้นในเขตตั้งแต่ บริเวณค่าย ตชด.(อ่างปลาบึก), วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่, ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง เรื่อยลงไปจนถึง เขตบ้านน้ำเป กิ่ง อ.รัตนวาปี แต่ก่อนจะเห็นเกิดขึ้นเฉพาะท่าน้ำวัดหลวง, วัดจุมพล, วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง อ.โพนพิสัยแต่ทุกวันนี้จะเห็นเกิดที่บ้านน้ำเป, บ้านท่าม่วง, ตาลชุม, ปากคาด และ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ
ก่อนนี้คน อ.โพนพิสัย เห็นแล้วก็เฉย ๆ เพราะเห็นประจำทุกปีในวันออกพรรษา เมื่อวันออกพรรษา ได้ไปนั่งดูอยู่ที่ท่าน้ำวัดไทย อ.โพนพิสัย และได้ลงเรือไปไหลเรือไฟด้วย เมื่อไหลเรือไฟมาถึงบริเวณท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นลูกไฟดังกล่าว พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง ขึ้นสูงไม่เกิน 2-3 วา นาน ๆ จะพุ่งขึ้นที จะขึ้นก็ต่อเมื่อประชาชนบนฝั่งเวียนเทียนเสร็จ เงียบ ลูกไฟถึงจะขึ้นให้เห็น แต่ทุกวันนี้ เมื่อ 18.00 น. ก็ขึ้นแล้วขึ้นสูงถึง 200-300 เมตร และขึ้นแต่ละทีก็มากด้วย ตั้งแต่ 5-20 ลูกติดต่อกัน
สังเกตว่า ลูกไฟนี้หากขึ้นกลางโขงจะเบนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นใกล้ฝั่งจะเบนออกกลางโขง ลูกไฟนี้จะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แต่ถ้าหากวันพระไทย ไม่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาว ลูกไฟนี้ก็จะไม่ขึ้น ปีไหน (วันออกพรรษา) ตรงกันทั้งไทย และ ลาว ลูกไฟนี้จะขึ้นมาก เชื่อกันว่าที่ เขต อ.โพนพิสัย มีเมืองบาดาลอยู่ใต้พื้นดินและเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ เรียกว่า เป็นเมืองหน้าด่านจึงมีบั้งไฟ
พญานาค เกิดขึ้นเป็นประจำที่นี้ ส่วนเมืองหลวงนั้นอยู่ที่ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ ที่ว่าอย่างนั้นเพราะที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้งจะมีสะดือแม่น้ำโขง ตลอดความยาวของแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่านหลายประเทศ ตรงที่ลึกที่สุดก็อยู่ที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้ง ชาวประมงวัดโดยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปได้ 99 วา ที่นี้จะมีลูกไฟขึ้นเป็นสีเขียวนวล บ่อยครั้งที่ชาวลุ่มแม่น้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทาง ทางน้ำ พวกเขาเชื่อว่าเป็นการกระทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือ เทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษเหตุนี้เรียกว่า “เงือกกิน” “เงือก, งู” เป็นสิ่งเดียวกันกับพญานาค แต่พญานาคนั้นมีภพเป็นที่อยู่อีกมิติหนึ่ง สามารถแปลงร่างได้หลายชนิด แปลงกายเป็นมนุษย์ หรือ อะไรก็ได้ เพียงแค่คิดเท่านั้นรูปร่างก็เปลี่ยนไปแล้ว จึงได้ปรากฏอยู่บ่อยๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำ หรือหลายครั้งที่มีคนพบรอยประหลาดแต่ก็เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคที่เกิดขึ้นใน เขต อ.โพนพิสัย หรือที่อื่น ๆ แม้แต่กลางกรุงเทพ ฯ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่หากคิดว่าทำไมและเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น และทำไมจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น และจะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาวจึงเชื่อได้ว่าพญานาค มีสัญชาติเชื้อชาติ ลาว ถึงแม้จะเกิดขึ้นทางฝั่งไทยก็ตาม นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่แท้จริง เพราะลูกไฟประหลาดหรือที่เรียกว่า “บั้งไฟพญานาค” นี้เกิดขึ้นเฉพาะในเขต จ.หนองคายเท่านั้น ตามแนวแม่น้ำโขง ไม่มีขึ้นที่อื่นแม้จะอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงนับได้ว่าหนองคายกับเวียงจันทน์ สมัยก่อนนั้นการปกครองและ
การสร้างเมืองโดยพญานาค จึงได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะถูกแยกการปกครอง และแยกประเทศออกจากกัน แต่ในความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ก็เป็นพื้นที่เดียวกัน

ตำนานประเพณีต่าง ๆ ของคนแถบลุ่มแม่น้ำโขง จะเกี่ยวข้องกับพญานาคกันทั้งนั้น เพราะพญานาค หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร และความเป็นอยู่ของมนุษย์

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เพื่อ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พญานาค ก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร และ สำคัญอย่างไร กับเมืองหนองคาย-เวียงจันทน์ และทำไม”บั้งไฟพญานาค”จึงได้เกิดขึ้นเฉพาะเขต จ.หนองคาย เท่านั้น และที่สำคัญจะเกิดขึ้นเฉพาะวันขึ้น 15 ค่ำ ที่ตรงกันระหว่าง ไทย-ลาว หากปีไหนแปดสองหนบั้งไฟพญานาค ก็จะเลื่อนไปขึ้นในวันพระลาว (15 ค่ำ ลาว) เป็นเรื่องที่ท้าทายให้มาดูมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง บั้งไฟพญานาคว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงต้องเกิดในวันดังกล่าวเท่านั้น ใครทำเพื่ออะไร และ ได้อะไรจากการกระทำดังกล่าว เชื่อว่าหลายคนยังต้องการไปพิสูจน์ความมหัศจรรย์นี้อยู่ (ตำนานพระพุทธศาสนา กล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดา บนดาวดึงส์ ครบ 3 เดือน เมื่อเสด็จกลับโลกมนุษย์ พญานาคได้เนรมิตบันไดแก้ว เงิน ทอง เสด็จลงมา มนุษย์ เทวดา พญานาค ได้ฉลองสมโภชด้วยการจุดบั้งไฟถวาย โดยเฉพาะเหล่าพญานาค ดังนั้นต่อมาเหล่าพญานาคจึงได้ถือเอาวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญ).........

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บัญญัติ 9 ประการของการลุกขึ้นสู้ใหม่


1...ลืมอดีตทิ้งไป เหมือนคุณเพิ่งเกิดใหม่เมื่อเช้านี้

2...เข้ามารับผิดชอบชีวิตตัวเองอย่างเต็มที่

3...ปลดล็อก ความคิดที่ขังคุณไว้ในบ้านอันมืดมน

4...ขจัดความกลัวในจิตใจให้ หมด

โดยใช้หลักมรณานุสุติเป็นเครื่องกำกับใจ

5...เชื่อ ว่าปัญหาทุกอย่างที่กำลังเผชิญ

เป็นหินรองก้าวไปสู่บันใดแห่งการ

พัฒนาศักยภาพของตนเอง

6..ใช้ความผิด พลาดทั้งหมดในอดีต

ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน

7...หาแรง จูงใจจากแหล่งพลังในบาดาลใจที่คุณขุดพบ

8...ใช้สัมมาทิฐิหรือการ คิดชอบเป็นหลักนำชีวิตคุณ

9...ทำตามฝันโดยฟังเสียงเล็ก ๆ เงียบ ๆ

ที่ร่ำร้องอยู่ในใจและจดจ้อง

อยู่ที่ดาวนำทางชีวิตคุณ

โดยไม่เปลี่ยนความตั้งใจ

โรคที่พบบ่อยในฤดูฝน


ในฤดูฝนแต่ละ ปี จะสังเกตได้ว่าเด็ก ๆ จะไม่สบายได้ง่าย เพราะอากาศจะเริ่มเย็นลงและชื้นมากขึ้น แถมยังมีเชื้อไวรัสอีกมากมายที่สามารถทำให้เด็ก ๆ ไม่สบายได้ โรคเด็กที่พบบ่อยในฤดูนี้คือ
1. โรคติดเชื้อเฉียบพลันในทางเดินหายใจ
2. โรคที่ยุงเป็นพาหะ เช่น โรคไข้เลือดออกและไข้สมองอักเสบ
3. ถ้ามีน้ำท่วมขังก็จะเห็นโรคเท้าเปื่อยด้วยค่ะ

1. โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจ จะแบ่งได้เป็น


โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคไข้หวัด , ไข้หวัดใหญ่ , คออักเสบ , หูชั้นกลางอักเสบ , ไซนัสอักเสบ

โรคติด เชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น โรคปอดบวม , หลอดลมอักเสบ , โรคทางเดิน หายใจอุดตันกระทันหันจากกล่องเสียงอักเสบ [CROUP] และโรคหอบหืด

โรคไข้หวัดและโรคแทรกซ้อนจากหวัด
เป็น โรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ๆ เพราะยังไม่มีภูมิต้านทานที่ดีพอ ฤดูฝนเป็นฤดูที่มีเชื้อไวรัสหลายชนิดที่ทำให้เกิดเป็นหวัดได้และสามารถ ติดต่อกันได้ง่าย จากอากาศที่หายใจ อาการส่วนใหญ่จะมีน้ำมูกไหล, คันตา, จาม, ไอ และอาจจะมีเจ็บคอ, ไข้, ปวดศีรษะ และเบื่ออาหารร่วมด้วย ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นใน 5-7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน [เช่น หูชั้นกลางอักเสบ (เจ็บหู) หรือไซนัสอักเสบ (ปวดศีรษะมาก)] หรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากน้ำมูกที่เปลี่ยนสีจากใส ๆ เป็นเขียว ๆ เหลือง ๆ ไอมากขึ้น, ไข้สูงนานกว่า 3 วัน หรือหายใจลำบาก ก็ควรจะพามาพบกุมารแพทย์เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง บางรายได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่มาก็จะมีอาการที่รุนแรงและอยู่นานกว่าไข้หวัด ธรรมดา ในรายที่เป็นไม่มากก็สามารถดูแลอยู่ที่บ้านได้โดย

- ให้เด็กพักผ่อน
- ดื่มน้ำอุ่น ๆ
- รับประทานยาลดไข้ (ถ้ามีไข้)
- ดูแลให้สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นถ้าอากาศเย็น
- ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมขณะที่เป็นไข้หวัดโดยเฉพาะถ้าเด็กยังเล็กอยู่
- ในเด็กเล็ก ๆ ที่มีน้ำมูกอาจจะช่วยโดยใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำเกลือเช็ดจมูก หรือหยดน้ำเกลือในโพรงจมูกแล้ว ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกออกก่อนดูดนมและก่อนนอน ก็จะช่วยให้เด็กดูดนมและนอนหลับดีขึ้น

โรคปอดบวม
จะเปนได้จากการติดเชื้อ ไวรัสและแบคทีเรีย อาการส่วนใหญ่จะมีเหมือนไข้หวัดมาก่อนแต่จะเริ่มหายใจเร็วขึ้นมีไข้สูง และถ้าเป็นมากขึ้น เด็กจะเริ่มหอบ หายใจลำบากขึ้นจนมีจมูกบานหรือชายโครงบุ๋ม ริมฝีปากเขียวและถ้าเริ่มเห็นอาการดังกล่าว ก็ควรพามาพบแพทย์ค่ะ

โรคหลอดลมอักเสบ และหอบหืด
ส่วนใหญ่จะเริ่มจากมีน้ำมูกใส ๆ ไข้ต่ำ ๆ ไอ ซึ่งอาจจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนหายใจเข้าได้ไม่เพียงพอ หรือถ้ามีอาการหอบ ก็อาจจะได้ยินเสียงวี๊ด [WHEEZING] หายใจเร็วขึ้น, ชายโครงบุ๋มและจมูกบานได้ ส่วนมากถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 18 เดือน อาการหอบครั้งแรกมักจะเป็นจากการติดเชื้อไวรัสหรือจากปอดบวม ส่วนเด็กที่มีอาการหอบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ อยู่เรื่อย ๆ จนโตก็จะเรียกว่าเป็นโรคหอบหืด ซึ่งจะต้องระวังเพราะอาการหวัดก็สามารถทำให้เด็กพวกนี้หอบขึ้นมาได้

โรคทางเดินหายใจ อุดตันกระทันหันจากการบวมอักเสบของกล่องเสียงที่ลามไปถึงหลอดลมใหญ่

[VIRAL CROUP] ในฤดูฝนจะมีเชื้อไวรัสบางชนิดที่จะทำให้เกิดอาการนี้ได้ ส่วนใหญ่จะเห็นในเด็กอายุ 3 เดือน ถึง 3 ขวบ และจะมาด้วยอาการไข้ ไอเสียงก้อง [BARKING COUGH] และเริ่มหายใจเสียงดัง และใช้กล้ามเนื้อส่วนคอในการหายใจเข้า [STRIDOR] ซึ่งจะเห็นได้เมื่อหลอดลมเริ่มอุดตันจากอาการบวมมากขึ้น ถ้าคิดว่าลูกอาจจะเป็นโรคนี้ได้ควรจะพามาพบแพทย์ทันทีค่ะ


2. โรคไข้เลือดออกเด็งกี่ [DENGUE]


เกิดจากเชื้อไวรัส เด็งกี่ซึ่งจะมาจากยุงลายตัวเมืย ที่ดูดเลือดคนเป็นอาหารในเวลากลางวัน ยุงลายชนิดนี้จะวางไข่ในที่ ๆ มีน้ำขังนิ่ง ๆ ดังนั้นในหน้าฝนจึงมียุงลายชนิดนี้มาก อาการจะแบ่งได้เป็น


ไข้เด็งกี่ [DENGUE FEVER]

ซึ่งจะมีไข้สูงลอย (39-40 องศา) 2-7 วัน, ปวดศีรษะ, ปวดท้องแถวลิ้นปี่,ปวดข้อและกล้ามเนื้อ, และอาจจะมีคอแดง, อาเจียร และจุดเลือดออกใต้ผิวหนังได้ ส่วนใหญ่จะไม่มีน้ำมูกหรือไอร่วมด้วย โรคนี้สามารถหายเองได้ใน 4-5 วัน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ไข้เลือดออกเด็ง กี่ [DENGUE HEMORRHAGIC FEVER]
จะมีอาการเหมือนไข้ เด็งกี่ แต่จะมีเลือดออกมากกว่า โดยเฉพาะในวันที่ 3-7 ของโรค เด็กจะเริ่มซึมลง อาเจียรมากขึ้น ปวดท้องและตับโตขึ้นได้ และถ้าเป็นมาก ๆ ความดันอาจจะต่ำและช็อคได้ ดังนั้นถ้าสงสัยว่าเด็กจะเป็นไข้เลือดออก ควรพามาตรวจร่างกายและตรวจเลือดเพื่อช่วยในการดูแลรักษาที่ถูกต้อง

เด็กบางคนอาจจะมีการติดเชื้อไวรัสตัวอื่นที่มีอาการ คล้ายไข้เด็งกี่ได้ แต่อาการจะน้อยและสั้นกว่า วิธีป้องกันคือป้องกันยุงกัดโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน การใช้ยาฆ่ายุงและกำจัดแหล่งเพาะยุงตามที่ ๆ มีน้ำขัง ก็จะช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคไข้เลือดออกก็ได้

3. โรคไข้สมองอักเสบจากไวรัส เจอี

จะเจอได้บิอยในภาค เหนือ,ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ โดยยุงจะเป็นพาหะและจะมีอาการไข้สูง ,อ่อนเพลีย,คลื่นไส้,อาเจียร,ปวดศีรษะ และใน 3-4 วันจะเริ่มมีอาการทางประสาท เช่น ชักแกร็ง,ซึม และอาจจะเสียชีวิตได้ภายใน 10 วัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจจะมีโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม และกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน และระวังไม่ให้โดนยุงกัด


4. โรคเท้าเปื่อยหรือเชื้อราที่เท้า


ตจะเห็นได้ในฤดู ฝน โดยเฉพาะในแหล่งที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ดังนั้นถ้าสามารถหลีกเลี่ยงการลุยน้ำด้วยเท้าเปล่า หรือแช่เท้าในน้ำนาน ๆ ได้ ก็จะช่วยป้องกันโรคเท้าเปื่อยได้ ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำสกปรกมาก็ควรจะล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้งทุก ครั้งค่ะ

ยาคุมแบบฉีด ทำมวลกระดูกเสื่อมอย่างน้อย 5%


เกือบครึ่งของผู้หญิงที่ฉีดยาคุมกำเนิดมักจะต้องพบกับ ปัญหาการสูญเสียมวลกระดูก โดยเฉพาะบริเวณสะโพก และ กระดูกสันหลัง

นัก วิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัส พบว่า หญิงชาวอเมริกัน มากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งเป็นวัยรุ่นกว่า 4 แสนคน ใช้ เมดร๊อกซีโพรเจสเตอร์โรน แอกเทท หรือ ดีเอมพีเอ ซึ่งเป็นยาคุมกำเนิดแบบฉีด ทุก ๆ 3 เดือน
หลังจากทำการ ศึกษาผู้ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉีดนี้จำนวน 95 คน เป็นเวลา 2 ปี ในขณะนั้นพบว่า ผู้หญิง 45 คน มีการสูญเสียมวลกระดูกอย่างน้อย 5% บริเวณหลังและ สะโพก และอีก 50 คน สูญเสียมวลกระดูกน้อยกว่า 5%

ใน เวลาต่อมา นักวิจัยพบว่า มวลกระดูกหายไปมากเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้หญิงที่สูบบุหรี่ ไม่เคยมีบุตร และรับประทานแคลเซียม 600 มิลลิกรัม หรือ น้อยกว่านั้นต่อวัน และเมื่อนักวิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อศึกษาเพิ่มเติมจำนวน 27 คน พบว่า ในสองปีแรก มวลกระดูกยังคงสูญเสียไปอย่างต่อเนื่อง


11 วิธีประหยัดน้ำมันที่ได้ผล


หลายคนอาจกำลังปวดหัวกับการขึ้นราคาน้ำมันที่รู้สึกว่าช่วง นี้ขยับขึ้นราคาบ่อยมาก วันนี้เรามีเคล็ดลับประหยัดน้ำมันมาฝาก

1.เติมน้ำมันแต่พอดีอย่าล้น เพราะนั่นไม่ได้ช่วยให้ได้คุ้มค่าแต่กลับจะทำให้ น้ำมันถูกบ้วนทิ้งออก เมื่อน้ำมันมีอุณภูมิสูงขึ้น

2.เติมเต็มถังถ้ามีโอกาส อันนี้เป็นข้อ เท็จจริงที่ควรปฏิบัติ เนื่องจากการเติมน้ำมันเต็มถังจะทำให้แรงดันในถังมีเยอะ เมื่อแรงดันในถัง ก็หมายความว่า น้ำมันที่ถูกดูดไปใช้จะไม่ลดลงเร็วกว่าปกติ และยังช่วยรักษาปั้มเชื้อเพิลงที่อยู่ในถังไม่ให้ร้อน

3.ตัดคอมแอร์ก่อนถึงที่หมาย การตัดคอม แอร์ก่อนถึงที่หมายถือว่าเป็นเรื่องที่ควรทำเพราะ นอกจากจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการไล่ความชื้นและเชื้อราในตู้แอร์ได้ด้วย

4.หมั่นตรวจสอบลมยาง ซึ่งยางที่มีลมยาง อ่อนเกินไปจะมีแต่ทำให้ศูนย์เสียพลังงานโดยใช่เหตุ

5.ใช้รอบเครื่องยนต์ในย่านความเร็วที่เหมาะสม ซึ่ง ขอแนะนำเพียงว่าให้ใช้รอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสม ซึ่งอยู่ระหว่าง 1900-2800 รอบ หรือใช้ความเร็วที่เหมาะสมที่ 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกำลังพอดี

6.อย่าถอยหลังเร็วๆ เกียร์ถอยหลัง เป็นเกียร์ที่มีอัตราทดสูงที่สุดในอัตราทดการถอยหลังเร็วก็เหมือนทำให้ เครื่องทำงานหนักโดยใช่เหตุ

7.อย่าทำ รถเป็นบ้าน เนื่องจากของที่เพิ่มขึ้นในรถหมายความถึง น้ำหนักที่เพิ่ม และน้ำหนักที่เพิ่มสูงขึ้นหมายความว่าเราต้องใช้พละกำลังจากเครื่องยนต์เท่า เดิมลากตัวถังที่หนักขึ้นด้วย ซึ่งเฉลี่ยทำให้สิ้นเปลืองกว่าถึงน้อยละ 20 เลยทีเดียว

8.ตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นประจำ ซึ่งการถ่ายน้ำมันเครื่องสม่ำเสมอทำให้เครื่องยนต์ไม่สึกหรอและมีอัตราสิ้น เปลืองคงที่

9.อย่าติดกับเกียร์ D อัน นี้คนใช้เกียร์ออโต้เป็นประจำและเป็นบ่อยด้วยสิ เนื่องจากรถเกียร์อัตโนมัติชุดเกียร์จะทำงานเปลี่ยนอัตราทดเองเมื่อถึงรอบ ที่เหมาะสม แต่ที่จริงแล้วหากคุณต้องขึ้นสู่ที่สูงควรใช้อัตราทดเกียร์ที่เหมาะสมคือ เลื่อนไปตำแหน่ง 2 หรือ N ก่อนขึ้นทางลาดชัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้เครื่องไม่ต้องมีภาระหนักเพิ่ม และดูจะขึ้นได้ลื่นกว่าด้วย

10. อย่าออกรถเร่งเต็มที่หลังสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ ตามหลัก ความจริงแล้วเราควรวอร์มเครื่องยนต์ก่อนออกสู่ถนนประมาณ 3 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องเข้าไปหล่อลื่นอย่างเต็มที่เสียก่อน ซึ่งช่วยลดการสึกหรอของการเสียดทานอุปกรณ์ต่างๆภายในเครื่องยนต์ หากเราสตาร์ทเครื่องแล้วเร่งตัวออกรถเลยจะทำให้น้ำมันยังไปไม่ทั่วถึง และยังทำให้เครื่องสึกหรอเร็วกว่าปกติด้วย

11. อย่าคิกดาวน์เกินความจำเป็น อันนี้สำหรับเกียร์ออโต้อีก แล้ว และดูเหมือนมีคนจำนวนมากไม่เข้าใจกับการคิกดาวน์ที่มันมีความหมายเท่ากับ เปลี่ยนเกียร์ลง 1 ระดับในรถเกียร์ธรรมดา การคิกดาวน์นั้นช่วยในเรื่องอัตราเร่ง แต่กลับกันก็มีผลเสียในเรื่องความประหยัดทางที่ดีควรขับรถไปเรื่อยๆในอัตรา ที่เหมาะสม ถ้าจะแซงก็ควรค่อยๆกดคันเร่งอย่าเหยียบมิดจนคิกคาวน์ เพราะมันจะทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ ยกเว้นว่าจำเป็นจริงๆ