วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

♣ คณะที่หางานง่ายสุด ♣

10 อันดับคณะที่หางานง่ายสุด




อันดับ 10 รัฐศาสตร์ - 3.36%

อันดับ 9 การจัดการ - 4.33%

อันดับ 8 พยาบาลศาสตร์ - 4.81%

อันดับ 7 นิติศาสตร์ - 8.17%

อันดับ 6 การตลาด - 8.65%

อันดับ 5 วิศวกรรมศาสตร์ - 10.10%

อันดับ 4 คอมพิวเตอร์ - 10.10%

อันดับ 3 บริหารธุรกิจ - 12.02%

อันดับ 2 แพทยศาสตร์ - 18.75%

อันดับ 1 การบัญชี - 19.71%


โพสเมื่อ [ วันเสาร์ ที่ 28 สิงหาคม 2553 เวลา 12:10 น.]

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ช็อกโกแลตดุแลตับ


นักวิจัยชาวสเปนค้นพบว่า ดาร์กช็อกโกแลตอาจกลายมาเป็นยารักษาโรคตับแข็งอย่างมีประสิทธิภาพได้ในอนาคต

โดยพวกเขาได้ทดลองให้ผู้ป่วยโรคตับแข็งระยะสุดท้ายรับประทาน ดาร์กช็อกโกแลตเป็นประจำหลังอาหาร และพบว่าผู้ป่วยมี ความดัน เลือดในช่องท้องและตับเพิ่มขึ้นหลอดเลือดที่เสื่อมสภาพในเซลล์ตับ จึงถูกฟื้นฟูและขยายตัว ทั้งนี้เป็นเพราะในผลโกโก้ที่นำมาผลิตช็อกโกแลตนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ หลายชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดและขยายหลอดเลือดนั่นเอง นับว่าเป็นการจุดประกายความหวังการรักษาโรคตับได้เป็นอย่างดี

นิตยสาร Health & Cuisine

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อินโดฯ ละเมิดลิขสิทธิ์สูงสุดในเอเชีย "ไทย" ติดอันดับ 7


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประเทศอินโดนีเซียได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีการละเมิดสิทธิ ทรัพย์สินทางปัญญาสูงที่สุดในเอเชีย

จากการจัดทำ แบบสำรวจของบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเมือง (เพิร์ค) เมื่อวันพุธ (25 สค.) ที่ผ่านมา หลังจากความพยายามครั้งล่าสุดของทางการอินโดนีเซีย ที่จะปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อนำประเทศก้าวไปสู่ความมีมาตรฐานในระดับนานาชาติ "สูญเสียแรงผลักดัน" โดยสิ้นเชิง
นายดอนนี่ เชโยปูตรา นายกสมาคมธุรกิจซอฟท์แวร์ของอินโดนีเซีย (บีเอสเอ) กล่าวว่า รัฐบาลควรเพ่งเล็งการกระทำของตนเอง เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อผู้ประกอบการรายเล็ก สิ่งที่เรายังบกพร่องก็คือ การขาดการปราบปรามที่เข้มงวดและการบังคับใช้กฏหมายที่ยังคงอ่อนแออยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ประกอบการรายเล็ก ที่ส่งผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับองค์กรหรือหน่วยงานใหญ่ๆ ซึ่งมักใช้วิธีการติดสินบน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม


บีเอสเอ กล่าวว่า เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทซอฟท์แวร์ทั้งในและต่างประเทศ สูญเสียรายได้เป็นจำนวนกว่า 886 ล้านเหรียญสหรัฐ จากค่าจดทะเบียนที่สูญเสียไป โดยเมื่อปี 2009 พบว่า อินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ 12 ของ ประเทศที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์มากที่สุดในโลก


เพิร์ค ได้ทำการสำรวจชาวต่างชาติจำนวน 1,285 คน ในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงช่วงกลางเดือนสิงหาคม โดยอินโดนีเซีย มีระดับคะแนนด้านการละเมิดลิขสิทธิ์สูงถึง 8.5 คะแนน โดยสิงคโปร์อยู่ในระดับสูงสุดของประเทศที่มีการละเมิดลิขลิทธิ์ต่ำสุด ด้วยคะแนน 1.5 ตามด้วยญี่ปุ่น 2.1 คะแนน, ฮ่องกง 2.8 คะแนน, ไต้หวัน 3.8 คะแนน และเกาหลีใต้ 4.1 คะแนน


ส่วนประเทศ เวียตนามอยู่ในอันดับรองสุดท้าย ที่ 8.4 คะแนน, จีน 7.9 คะแนน, ฟิลิปปินส์ 6.84 คะแนน, อินเดีย 6.5 คะแนน, ไทย 6.17 คะแนน และมาเลเซีย 5.8 คะแนน


ประเทศจีน ได้ตกในสถานะที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และ การใช้เทคโนโลยีที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์โดยบริษัทขนาดใหญ่ ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป เพื่อแข่งขันในตลาดต่างประเทศ


ส่วนประเทศอย่างเวียตนาม, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย นั้นไม่มีขีดความสามารถในการสร้างความเสียหาย ได้เท่ากับบริษัทของจีน


โดยทางรัฐบาลอินโดนีเซีย ได้เคยกดดันให้สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ถอดถอนอินโดนีเซียออกจากบัญชีรายชื่อ ประเทศที่ถูกจับตามองด้านการปกป้องการละเมิดลิขสิทธิ์มาแล้ว โดยอินโดนีเซียได้รับการถอดถอน เมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียก็ถูกรวมอยู่ในบัญชีรายชื่ออีกครั้ง หลังจากทางวอชิงตัน กล่าวหาว่า อินโดนีเซียไม่มีการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาที่เพียงพอ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติ ชน

ชาวพรหมพิราม ออกไล่ล่า"ตุ๊กแก"สร้างรายได้


ฮือฮาชาวพรหมพิราม เปลี่ยนวิถีชีวิตรับจ้าง หันมาเป็นพรานล่าตุ๊กแก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ


วันนี้ 26 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้าน ในพื้นที่บ้านท่าสำโรง หมู่ 17 ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก

พากันออกไล่ล่าหาตุ๊กแก และรับซื้อตุ๊กแกจากที่ต่าง ๆ เพื่อนำส่งขายสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จึงเดินทางไปตรวจสอบ ที่บ้านเลขที่ 121 หมู่ 7 ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม พบนายสมัย หงส์ทอง อายุ 47 ปี และนางน้ำค้าง หงส์ทอง อายุ 47 ปี ภรรยา โดยเปิดรับซื้อตุ๊กแก เพื่อส่งขายให้กับพ่อค้าที่มารับซื้ออีกทอดหนึ่ง

นายสมัย กล่าวว่า ปกติมีอาชีพรับจ้างทั่วไป และมาทราบข่าวจากทางโทรทัศน์ว่า มีการซื้อขายตุ๊กแกในราคาสูง

เพื่อส่งไปทำยายังประเทศมาเลเซีย จึงเริ่มศึกษาและพยายามติดต่อกับผู้ซื้อตุ๊กแก จนกระทั่งมีคนมาติดต่อรับซื้อในหมู่บ้าน จึงมีชาวบ้านอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไป พากันออกตามจับตุ๊กแกตามต้นไม้ ในช่วงเวลากลางคืน และรับซื้อจากชาวบ้าน เพื่อนำมาเลี้ยงให้เติบโตในกรง ที่ติดตั้งหลอดไฟล่อแมลงในยามค่ำคืน เพื่อให้แมลงมาเล่นไฟ และจะได้เป็นอาหารให้กับตุ๊กแก จนมีน้ำหนักตัวได้ขนาดตามที่พ่อค้ารับซื้อกำหนดไว้ โดยมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อตุ๊กแก น้ำหนักตัวตั้งแต่ 4 ขีดขึ้นไป โดยให้ราคาสูงถึง ตัวละ 4,000-5,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์ของตุ๊กแก

นายสมัย กล่าวต่อว่า ตุ๊กแกต้องมีสภาพสมบูรณ์ หางต้องไม่ขาด

เพราะถ้าหากขาดพ่อค้าจะไม่รับซื้อ ส่วนตุ๊กแกที่ตนรับซื้อจากชาวบ้านทุกไซซ์ทุกขนาด และให้ราคาตามน้ำหนัก โดยขนาดน้ำหนักไม่ถึง 3 ขีด รับซื้อในราคา 200 บาทต่อตัว ส่วนน้ำหนักไม่ถึง 2 ขีด รับซื้อในราคาตัวละ 50 บาท โดยตุ๊กแก ทั้งหมดตนจะเดินทางไปจับด้วยตัวเอง เพียงแต่ให้เจ้าของบ้านชี้จุดที่ตุ๊กแกอยู่ประจำให้เท่านั้น เพราะการจับต้องระมัดระวัง เมื่อไม่ให้ตุ๊กแกได้รับบาดเจ็บ เพราะอาจทำให้ตุ๊กแกเข็ด ไม่ยอมกินอาหาร เนื่องจาก ตุ๊กแกที่ซื้อมาทุกตัว จะต้องนำมาเลี้ยงเพื่อให้ตุ๊กแกมีน้ำหนักตามที่ต้องการ

นายสมัย กล่าวด้วยว่า หลังจากหันมารับซื้อตุ๊กแก และออกไล่ล่าหาจับตุ๊กแกตามสถานที่ต่างๆ สามารถจับตุ๊กแกขายไปแล้วกว่า20 ตัว

ทำให้มีรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัวกว่า 2 หมื่นบาท จึงเห็นว่าการซื้อขายตุ๊กแกน่าจะเป็นสร้าง รายได้เลียงครอบครอบครัวได้ จึงหันมารับซื้อตุ๊กแกอย่างจริงจัง พร้อมเตรียมสร้างกรงขนาดใหญ่เปิดเป็นฟาร์มเพาะพันธุ์ตุ๊กแกแห่งแรกของ จ.พิษณุโลกอีกด้วย.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เด ลินิวส์

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Australia

ประเทศออสเตรเลียตั้งอยู่ในเขต ซีกโลกใต้ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของไทย มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ความเป็นมิตร และสังคมที่มีหลากหลายวัฒนธรรม แต่ผู้คนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน นักเรียนสามารถเดินทาง และเรียนรู้ในสังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนที่พูดภาษาอังกฤษ มีคนไทยกว่า 40,000 คน อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย มีร้านอาหารไทยกว่า 400 แห่งในซิดนีย์ และมีการเฉลิมฉลองประเพณีสงกราณต์และ ลอยกระทง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คนไทยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในออสเตรเลีย


ประเทศออสเตรเลียปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยและยังคงเป็นประเทศใน เครือจักรภพอังกฤษ มีสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถอลิซเบธเป็นประมุขของประเทศโดยแต่งตั้ง ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ปกครองประเทศ และมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 6 รัฐด้วยกัน คือ นิวเซาท์เวลส์ วิคตอเรีย ควีนสแลนด์ เซาท์เทิร์นออสเตรเลีย เวสเทิร์นออสเตรเลีย และแทสมาเนีย และยังมีอีกสองเขตการปกครอง คือ เขตทางเหนือ (Northern Territiry) และเขตเมืองหลวงของประเทศ (the Australian Capital Territory)

รัฐบาลของ ออสเตรเลียแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ


  1. รัฐบาลกลาง มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำ และเป็นผู้รับผิดชอบงานต่างๆภายในประเทศ
  2. รัฐบาลรัฐ มีผู้ว่าการรัฐเป็นผู้นำ โดยจะมีการปกครองตนเองและมีการออกกฎหมายสำหรับบังคับใช้ภายในรัฐ
  3. รัฐบาลท้องถิ่น รับผิดชอบโดยเทศบาล

การแบ่ง เขตการปกครอง


รัฐบาลสหพันธรัฐรับผิดชอบกิจการระดับประเทศ เช่น การป้องกันประเทศ การต่างประเทศ ส่วนรัฐบาลในระดับรัฐ ดูแลด้าน การศึกษา การคมนาคมขนส่ง การบริหารสาธารณสุข การเกษตร การรักษากฎหมายภายในรัฐของตน และรัฐบาลระดับท้องถิ่น ดูแลสาธารณูปโภค การระบายน้ำ การขจัดของเสีย สวนสาธารณะ ห้องสมุดประชาชน





ประวัติศาสตร์


ในทวีปออสเตรเลียพบว่ามีประชากรเข้ามาอาศัยเมื่อประมาณ 40,000-50,000 ปี ที่แล้วโดยอพยพไปจากทวีปเอเชียและหมู่เกาะใกล้เคียง ภายหลัง จึงมีการอพยพคนจากทางยุโรบโดยเฉพาะจากประเทศอังกฤษเข้าไปอยู่อาศัย


การเมือง


เคยตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศสหราชอาณาจักรแต่ไม่มีการเปลี่ยน แปลงภายในประเทศมากนัก แต่ในภายหลังได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมี ประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลปกครองประเทศ


ภูมิศาสตร์


ออสเตรเลียมีลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปร้อยละ 65 เป็นที่ราบสูง และตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งและทุรกันดาร และมีขนาดทะเลทรายรวมกันใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทะเลทรายสะฮาราในทวีปแอฟริกา ชาวออสเตรเลียเรียกดินแดนที่แห้งแล้งและทุรกันดารนี้ว่า "เอาต์แบ็ก" ประชากรออสเตรเลียส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกหลังเทือก เขาเกรตดิไวดิง ซึ่งแบ่งแยกชายฝั่งตะวันออกกับเขตเอาต์แบ็ก มีแม่น้ำสายสำคัญ ๆ อยู่ทางภูมิภาคตะวันออก ได้แก่ แม่น้ำดาร์ลิง แม่น้ำเมอร์เรย์ ส่วนตอนกลางของประเทศที่เรียกว่า "เขตเซนทรัลโลว์แลนด์" เป็นเขตแห้งแล้งที่สุด แม่น้ำลำธารต่าง ๆ อาจแห้งสนิทเป็นเวลาหลายปี


สภาพภูมิอากาศ


ประเทศออสเตรเลียตั้งอยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร กว่าหนึ่งในสามของประเทศตั้งอยู่ในเขตร้อน และส่วนที่เหลือตั้งอยู่ในเขตอบอุ่น อย่างไรก็ตามออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีขนาดกว้างใหญ่ จึงมีสภาพภูมิอากาศที่หลากหลายโดยทั่วไปแล้วอากาศจะเย็นสบาย แต่บริเวณที่ราบสูง ที่ราบในแทสมาเนีย และบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศมีอากาศหนาวเ็ย็น ส่วนภูมิอากาศทางตอนเหนือของประเทศนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับภูมิอากาศทั่วไป ในเขตเอเชียและแปซิฟิค


ฤดูกาลที่สำคัญ


ออสเตรเลียมี 4 ฤดู ดังนี้


  • ฤดูร้อน : เดือนธันวาคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์
  • ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม
  • ฤดูหนาว : เดือนมิถูนายน ถึง เดือนสิงหาคม
  • ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนกันยายน ถึง เดือนพฤศจิกายน

จำนวนประชากร


ประเทศออสเตรเลียมีประชากรทั้งหมด 19 ล้านคน ส่วนมากอทศัยอยู่ทางชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเฉียงใต้ และในแทสมาเนีย ซึ่งประมาณ 85% ของประชากรทั้งหมดอาศัยอยู่ใกล้หรืติดชายฝั่งทะเล ชาวออสเตรเลียใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการและดำเนินชีวิตแบบตะวันตก ประเทศออสเตรเลียเปรียบเสมือนบ้านของคนจาดทั่วทุกมุมโลก ประชากรประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมดที่อาศัยในประเทศออสเตรเลียเป็นชาวต่างชาติ ทั้งจากเอเชีย ยุโรป อังกฤษ และ อเมริกา ปัจจุบันนี้ประเทศออสเตรเลียได้มีการติด ต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคอย่างใกล้ชิด


วัฒนธรรม


เนื่องจากประชากรแต่เดิมส่วนใหญ่อพยพมาจากทวีปยุโรป จึงทำให้วัฒนธรรมเป็นแบบตะวันตก โดยเฉพาะแบบอังกฤษประชากรส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เตือนภัย ! สาวๆที่ชอบต่อเล็บ


สาวๆ คนไหนชื่นชอบการต่อเล็บเป็นชีวิตจิตใจ ต้องอย่าลืมมองข้ามความปลอดภัย และพึงระวังภัยเงียบที่เกิดจากการต่อเล็บเป็นพิเศษ เอาเป็นว่าไปติดตามกันเลยดีกว่าว่าเจ้าภัยเงียบนี้คืออะไร...

ภัย เงียบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการต่อเล็บนั้น เป็นอันตรายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง เนื่องจากการต่อเล็บนั้นปัจจัยที่สำคัญได้แก่กาวซึ่ง ส่วนใหญ่มักจะใช้กาวที่ทำด้วยเมธิลเมธาครายเลต ซึ่งมีราคาถูก โดยจะมีลักษณะกลิ่นฉุน และเป็นพิษ อาจจะมีปฏิกิริยากับผิวหนังหรือทำให้เล็บเสียหายถาวรได้

อีกทั้งเมื่อกาวแห้งจะแข็ง ตัว และมักจะยึดติดกับเล็บจริงอย่างแน่นหนา จึงอาจทำให้เล็บฉีกได้เมื่อจะถอดออก บางครั้งเมื่อถอดเล็บปลอมไม่ออก ถึงกับต้องใช้ตะไบตัดออก ก็ยิ่งทำให้เล็บที่อยู่ข้างใต้เสียหายหนัก ซึ่งจะส่งผลถึงสุขภาพของเล็บได้ นอกจากนั้นกาว ซึ่งเป็นสารเคมีอาจถูกดูดซึมเข้าสู่เล็บ และอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อราหรือสะสมเชื้อราภายใต้เล็บ

รู้แบบนี้แล้ว เห็นทีสาวๆ ที่รักสวยรักงาม และชื่นชอบการต่อเล็บต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยกันบ้าง แล้วล่ะค่ะ...

รู้ทันภัย 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์'


รู้ทันภัย 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์'

ปลอมเบอร์โทรหลอกโอนเงิน!

"แก๊ง คอลเซ็นเตอร์”
กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในปัจจุบัน โดยหลายรายที่ ตกเป็นเหยื่อต่างสูญเงินไปกับกลโกงมากมายมหาศาล แต่เมื่อภาครัฐเร่งจับและให้ความรู้กับประชาชน
กลุ่มมิจฉาชีพกลับใช้อุบายในการปลอมเบอร์ของทางราชการหรือ ธนาคารเพื่อหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ!!

การหลอกเหยื่อโดย ใช้การโทรฯผ่าน เครือข่าย “วีโอไอพี” โดยการปลอมเลขหมายหน่วยงานราชการและธนาคารเริ่มมีความแพร่หลายอย่างเห็นได้ ชัด ดังนั้นประชาชนควรมีความรู้เพื่อป้องกันตนเองจากกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้

ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มมีมานานแล้ว แต่มีการพัฒนารูปแบบการหลอกใหม่ ๆ ขึ้น ล่าสุดได้มีการนำระบบ “วีโอไอพี” ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มาดัดแปลง ด้วยการป้อนข้อมูลเบอร์โทรฯของหน่วยงานราชการและธนาคาร เพื่อให้เลขหมายดังกล่าวไปปรากฏขึ้นบนจอมือถือของผู้รับ เพื่อให้ผู้รับไม่ได้ระวังตัวเนื่องจากเป็นเลขหมายของสถานที่ราชการ ในอีกกรณีหนึ่ง มิจฉาชีพจะโทรฯมาโดยไม่แสดงเลขหมายบนมือถือผู้รับ หรือเบอร์เลขหมายที่มีมากกว่าปกติเหมือนกับเบอร์โทรฯต่างประเทศโทรฯเข้ามา เพื่อไม่ให้เหยื่อโทรฯติดต่อได้ง่าย

“ระบบวีโอไอพี”
พัฒนาขึ้นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารที่ มีราคาถูกลง โดยต้นสายสามารถคุยผ่านไมโครโฟนที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ไปยังปลายสายที่ เป็นคอมพิวเตอร์ด้วยกันหรือโทรศัพท์ปลายทาง โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการโทรฯจากต่างประเทศมาไทย เมื่อโทรฯมาจะมีผู้ให้ ใช้บริการในไทยเชื่อมต่อสัญญาณไปยังมือถือปลายสาย

การใช้วีโอไอ พีเพื่อหลอกลวงส่วนใหญ่ บรรดาแก๊งมิจฉาชีพจะใช้วิธีตั้งออฟฟิศขึ้นในต่างประเทศเพื่อที่จะโทรฯมาหลอก คนไทย ขณะเดียวกันคนต่างชาติก็มาตั้งออฟฟิศเพื่อโทรฯหลอกคนประเทศตนเองในไทย แก๊งเหล่านี้น่าจะเป็นเครือข่ายเดียวกัน ด้วยพฤติกรรมการหลอกและการทำงานมีความใกล้เคียงกัน

ดังนั้น ประชาชนทั่วไปไม่ควรโทรศัพท์ขณะกดเอทีเอ็ม เนื่องจากมิจฉาชีพจะหลอกเพื่อให้ไปกดเอทีเอ็มแล้วพูดให้เหยื่องง จนหลงเชื่อกดโอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย หรือในบางกรณีคนร้ายเร่งเพื่อให้เหยื่อกดตามคำสั่งจนไม่ได้อ่านตัวอักษรบน ตู้ เอทีเอ็ม ไม่ว่าหน่วยงานใดก็ตามไม่มีนโยบายให้โทรศัพท์ไปด้วยกดเอทีเอ็มไปด้วย หากประชาชนเจอสถานการณ์ในกรณีดังกล่าวให้สังหรณ์ใจไว้ว่ากำลังถูกหลอก บางประเทศมีนโยบายไม่ให้โทรศัพท์ขณะกดเอทีเอ็มเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเมื่อเข้าใกล้ตู้เอทีเอ็มจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

ใน บางกรณีเหยื่อก็หลงเชื่อมิจฉาชีพที่โทรฯมาโดย ใช้เบอร์หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พอเหยื่อโทรฯกลับไปสอบถามก็พบว่า มีคนดังกล่าวอยู่ในหน่วยงาน แต่ไม่ได้คุยสาย พอหลังจากนั้นมิจฉาชีพจะโทรฯมาอีกครั้งแล้วให้เหยื่อโอนเงิน

หากหลงเชื่อโอนเงินไปแล้ว ควรเก็บสลิปที่ออกมา จากตู้เอทีเอ็มและโทรฯไปยังธนาคารเพื่อระงับการทำธุรกรรมภายใน 2-3 นาที หลังจากโอนเงิน ในอนาคตตำรวจและธนาคารควรมีเบอร์โทรฯกลางเพื่อแจ้งในการระงับการทำธุรกรรม และสืบหาตัวผู้กระทำผิดได้อย่างทันท่วงที

กลวิธีที่มิจฉาชีพนิยมนำมาหลอกเหยื่อคือ

1.โทรฯสุ่มโดยไม่เลือก โดยใช้คอลเซ็นเตอร์ ที่อัดเทปเกลี้ยกล่อม ให้เหยื่อกดต่อไปยังพนักงานแล้วทำการหลอกให้โอนเงิน

2.มิจฉาชีพจะทำ การโทรฯมาก่อนเพื่อหลอกให้ตอบคำถาม เช่น เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน ชื่อ-นามสกุล และเลขที่บัญชีธนาคาร หลังจากนั้นจะมีอีกสายโทรฯมาบอกว่า โทรฯมาจากหน่วยงานต่าง ๆ และสามารถบอกเลขที่บัญชีธนาคารและชื่อจริงตามที่มิจฉาชีพรายแรกได้โทรฯมาสอบ ถามก่อนแล้วซึ่งพอเหยื่อได้รับสายที่สองจะหลงเชื่อเพราะรู้ข้อมูลส่วนตัว แต่แท้ที่จริงทั้งสองสายเป็นแก๊งมิจฉาชีพ!

“สิ่งที่ต้องเร่งทำ ตอนนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความรู้กับประชาชน และเตรียมเชิญผู้ให้บริการวีโอ ไอพีในไทยวางระบบเพื่อป้องกันการปลอมเบอร์โทรฯ โดยผู้ที่กระทำผิดมีโทษทางกฎหมายเกี่ยวกับการฉ้อโกง ซึ่งหากท่านตกเป็นเหยื่อควรแจ้งตำรวจเพื่อเร่งดำเนินคดี หรือโทรฯมาที่สายด่วน 1200 หรือสายด่วน 1155 และสายด่วน 1135 โดยจะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง”

ดร.โกเมน พิบูลย์โรจน์ ผู้อำนวยการโปรแกรมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ให้ความเห็นตรงกันว่า เวลาโทรศัพท์ไม่ควรกดเอทีเอ็มเพราะไม่มีหน่วยงานใดให้โทรศัพท์ไปด้วยกดเอที เอ็ม ไปด้วย

ดังนั้นในเบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรออก หนังสือเตือนให้ประชาชนและคนในหน่วยงานทราบ เนื่องจากถ้าตกเป็นเหยื่อไปแล้วย่อมสร้างความเสียหายต่อตนเอง การป้องกันด้วยการสร้างโปรแกรมป้องกันเบื้องต้นอาจต้องใช้เวลาและ ผู้ให้บริการต้องทำความเข้าใจกับผู้ใช้อย่างถี่ถ้วน

“วีโอไอพี เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ค่าใช้จ่ายต่ำ ซึ่งถ้าต้องการควบคุมพฤติกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพไม่ควรสร้างผลกระทบต่อผู้ใช้ บริการที่มีความจำเป็น จริง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมานั่งคุยกันเพื่อพัฒนาระบบไม่ให้มีการ ปลอมแปลงเบอร์”

อนาคตน่าจะมีการหลอกลวงโดยใช้ชื่อคนที่มี ชื่อเสียงมากขึ้น ซึ่งหากใครได้รับโทรศัพท์ที่อ้างว่า มาจากหน่วยงานและผู้ที่มีชื่อเสียงให้โอนเงินไม่ควรหลงเชื่อ!

ขึ้น ชื่อว่า “เทคโนโลยี” นอกจากจะมีคุณประโยชน์แล้วยังมีโทษ ดังนั้นประชาชนควรระแวดระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของกลุ่ม มิจฉาชีพ.

วีโอไอพี คืออะไร?


วีโอไอพี (VoIP) ย่อมาจาก วอยส์โอเวอร์ไอพี (Voice over Internet Protocol) เป็นการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือโครงข่ายอื่น ๆ ที่ใช้อินเทอร์เน็ตโพรโทคอล สัญญาณเสียงจะถูกตัดแบ่งเป็นแพ็กเกจวิ่งผ่านไปบนโครงข่ายที่ใช้สำหรับการ สื่อสารข้อมูลทั่วไป แทนการใช้วงจรเฉพาะตามวิธีการสื่อสารในระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิม เปรียบได้กับการให้รถยนต์วิ่งแทรกกันได้ตามช่องว่างที่มีอยู่ของถนน แทนการให้รถยนต์คันเดียวจองถนนวิ่งแบบผูกขาด ข้อดีของวีโอไอพีก็คือการสามารถใช้โครงข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถให้บริการได้ในอัตราค่าบริการที่ถูกลงมาก

ในการใช้ บริการวีโอไอพี ผู้ใช้บริการจะต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก่อน หลังจากนั้น สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า ซอฟต์โฟน และไมโครโฟนกับหูฟัง เพื่อพูดคุยกับปลายทางได้ ในปัจจุบัน มีอุปกรณ์ที่เรียกว่า อะนาล็อกเทเลโฟน อะแด็ปเตอร์ เข้ามาแทนการใช้คอมพิวเตอร์ ต่อกับอินเทอร์เน็ต และใช้เครื่องโทรศัพท์อะนาล็อกที่ใช้งานตามบ้านหรือสำนักงานทั่วไปในการ โทรศัพท์แบบวีโอไอพีได้ ทำ ให้ได้รับความสะดวก และมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากการใช้โทรศัพท์แบบดั้งเดิม

การใช้ งานวีโอไอพี สามารถใช้งานได้ทั้งในการโทรศัพท์ถึงปลายทางที่เป็นวีโอไอพีเช่นเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีการเก็บค่าบริการ แต่ทั้งสองข้างจะต้องออนไลน์พร้อมกัน หรือจะโทรฯไปยังปลายทางที่เป็นหมายเลขโทรศัพท์ปกติ ทั้งโทรศัพท์ประจำที่ หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ได้ ในกรณีนี้จะต้องมีการสมัครเป็นสมาชิกของบริการและชำระค่าบริการล่วงหน้า แต่ค่าบริการจะถูกกว่าการโทรศัพท์ปกติมาก.

ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

ทีมวาไรตี้

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต (นิมิตก่อนตาย)


เวลาที่สำคัญที่สุดของนักเรียน นักศึกษา คือตอนสอบไล่
เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเรา คือ อารมณ์จิตก่อนตาย

จะ ไปสวรรค์ พรหม พระนิพพาน หรือแดนอบายภูมิ
ก็อยู่ที่จิต ก่อนตายของท่านจะผ่องใสหรือเศร้าหมอง

ท่านสาธุชนพุทธบริษัท ทั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงความตาย ความจริงเรื่องความตายมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า
" คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน "

ตามที่หนังสือโบราณ ท่านเขียนไว้ แล้วก็คนโบราณ โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรา ก็ไม่ทราบว่า ตำราเล่มไหนเหมือนกัน ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต เรื่องนี้สำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัท ประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องสมัยพระพุทธเจ้า คนที่เห็นนิมิตสมัยนั้นมาเล่าสู่กันฟัง คุยกันตอนนี้เสียก่อน

คนจะ ตายต้องเห็นนิมิต คือ
๑. เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่า คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
๒. ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓. ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔. ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทานหรือวัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล อย่างนี้ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปสู่สุคติ

ตามที่ท่าน เขียนมาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์ แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่ว่า มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เมื่อเวลา สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายก ฯ เวลานั้นก็เกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์ ตามลีลาที่เขาเล่ากันบอกว่า ตั้งใจจะต่อต้านญี่ปุ่น ว่าอย่างนั้นชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลกไม่ได้พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น

ก็ เป็นอันว่า เมื่อเลิกสงคราม เธอเลิกงานมาแล้ว ก็ปรากฎว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด
วันหนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตามไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา เขาบอกว่า จวนป่วยหนัก เป็นเวลาเย็น ประมาณสัก ๔ โมงเย็น ก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตามด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์

ที่ไป เป็นเพื่อนไม่ใช่คิดว่ากลัวใครจะทำร้าย ที่นำไปแบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล คนนั้นจะไปสวรรค์

พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวน ก็อาการหนักจริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่าอาตมาไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม? "
เธอเหลียวหน้า มา ก็พยักหน้าตอบว่า " จำได้ " เสียงเบามาก

ก็ถามเธอว่า " เวลานี้เห็นอะไรไหม? ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง? "
เธอก็ ตอบว่า " เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า " เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ

เมื่อ ฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็นไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก ถามว่า
" จวน ภาวนา พุทโธ ไหม? "
เธอส่ายหน้าบอกว่า " คิดไม่ออก "

จึงหันไปหาภรรยา เขา อาตมาก็จำชื่อภรรยาไม่ได้ ลืมเสียแล้ว ถามว่า " มีสตางค์ไหม? "
เธอ ก็บอกว่า " มี "

ก็เลยบอกว่า " ถ้ามีละก็ ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม? "

เธอ ก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาท มาให้ อาตมาก็ไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือ บอกว่า

" จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตายหรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกัน ๔ องค์ ขอจวน ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท "

เธอก็พูดเบา ๆ ตาม แล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า " คุณทั้งหลาย ถ้าเห็นชอบ ให้ สาธุ พร้อมกันนะ "

พระทั้งหลายก็ " สาธุ " พร้อมกัน พอพระสงฆ์ สาธุ พร้อมกัน รู้สึกว่า จิตใจของเธอสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า " จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง "
เธอก็ตอบ " ไฟหายไปแล้ว "

ถามว่า " เธอเห็นภาพอะไร "
เธอบอก " เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค " เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรเป็นประจำ

ถามว่า " เห็นชัดไหม "
เธอก็บอก " เห็นชัด อยู่ใกล้มาก "

ก็บอก " จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ "
แทนที่เธอจะนึกในใจ เธอก็ออกเสียงว่า" พุทโธ ๆ ๆ ๆ " เบา ๆ เธอว่าไปสัก ๓ - ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย

ถามว่า " จวน เวลานี้เห็นพระไหม "
เธอตอบว่า " เห็นพระ "

ถามว่า " ชัดขึ้นไหม "
เธอ ก็ตอบว่า " ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมาก ใหญ่กว่าเดิมมาก "

บอก " ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์ "
เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า วิมานนี้เป็นของเธอ "

จึง ถามเธอว่า " เวลานี้ ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน "
เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า " ต้องการวิมานครับ "

ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป ก็บอกว่า
" ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ "
เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า " พุทโธ ๆ ๆ ๆ "

ในที่สุดก็เงีบบไปพร้อมกับคำภาวนา และลมหายใจเข้า - ออก รวมความว่า
เธอ ตายคู่กับพุทโธ

เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมาก็มีวิธีเดียววิธีนี้ เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงิน ชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ นี่เป็นอันว่า มนุษย์เราที่ตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดี และก็ถูกตัดเพราะกฎของกรรม




โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ที่มาhttp://board.palungjit.com/

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผลวิจัย เกี่ยวกับ โรงเรียนกวดวิชา ในปัจจุบัน

จากที่ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่าง น้องๆมอปลายประมาณ 800 คน
หัวข้อเกี่ยวกับ โรงเรียนกวดวิชาในปัจจุบัน
ผล Vote แยกให้ตามรายวิชา โดยคิดเป็น %
วิชาเคมี
1. อาจารย์อุ๊ 92%
2. อาจารย์สำราญ 2.6%
3. อาจารย์บัวแก้ว 2.2%
4. อื่นๆ 3.2%

วิชาคณิตศาสตร์
1. The Brain 26%
2. พี่ต้อม(อาจารย์เศรษฐกาณต์) ที่ Eureka 22.7%
3. อาจารย์อรรณพ 22%
4. Sup-K 18%
5. อาจารย์สมัย 9.3%
6. อื่นๆ ประมาณ 2%

วิชาฟิสิกส์
1. Applied PhySics 38%
2. Neo Physics 29%
3. Ideal Physics 12%
4. อาจารย์ธวัชชัย 13%
5. อื่นๆ 8%

วิชาชีวะวิทยา
1. อาจารย์เอกฤทธิ์ 42%
2. อาจารย์สมาน 39%
3. หมอพิชญ์ 19%

วิชาภาษาอังกฤษ
1. อาจารย์สมศรี 28%
2. Access 22%
3. Enconcept 21%
4. อาจารย์ดวงใจ 19%
5. อื่นๆ 10%

วิชาภาษไทย
1. Da'Vance อาจารย์ปิง 42%
2. อาจารย์ ลิลลี่ 37%
3. อาจารย์ธเนศ 11%
4. อื่นๆ 10%

วิชาสังคม
1. Da'Vance อาจารย์ปิง 67%
2. ครูป็อบ 21%
3. อื่นๆ 11%

Rose


A rose is a flowering shrub of the genus Rosa, and the flower of this shrub. There are more than a hundred species of wild roses, all from the northern hemisphere and mostly from temperate regions. The species form a group of generally prickly shrubs or climbers, and sometimes trailing plants, reaching 2–5 metres tall, occasionally reaching as high as 20 metres by climbing over other plants.
The name originates from
Latin rosa, borrowed through Oscan from colonial Greek in southern Italy: rhodon (Aeolic form: wrodon), from Aramaic wurrdā, from Assyrian wurtinnu, from Old Iranian *warda (cf. Armenian vard, Avestan warda, Sogdian ward, Parthian wâr).
Rose hips are sometimes eaten, mainly for their vitamin C content. They are usually pressed and filtered to make rose hip syrup, as the fine hairs surrounding the seeds are unpleasant to eat (resembling itching powder). They can also be used to make herbal tea, jam, jelly and marmalade. A rose that has aged or gone rotten may not be particularly fragrant, but the rose's basic chemistry prevents it from producing a pungent odor of any kind. Notably, when balled and mashed together the fragrance of the rose is enhanced. The fragrance of particularly large balls of mashed roses is enhanced even further. Rose hips are also used to produce an oil used in skin products. Rose shrubs are often used by homeowners and landscape architects for home security purposes. The sharp thorns of many rose species deter unauthorized persons from entering private properties, and may prevent break-ins if planted under windows and near drainpipes. The aesthetic characteristics of rose shrubs, in conjunction with their home security qualities, makes them a considerable alternative to artificial fences and walls

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ได้ดังประสงค์ แต่ไม่สมปรารถนา


ชีวิต มันไม่ได้ดังใจเราเสมอไปหรอก
หลายสิ่งที่ต้องการ ก็ไม่ได้มา ขณะที่บางสิ่ง แม้ว่าจะได้ดังประสงค์ หากก็ดูเหมือนจะ..ไม่สมปรารถนา

เรา ถูกสอนมา แบบสุขนิยมในเชิงบริโภคนิยมว่า ..ต้องได้มาดังใจจึงจะมีความสุข
จน ลืมมองไปว่า ในธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดได้ดังใจ

ไม้ใหญ่ที่ยืนต้นงาม สง่า ไม่เคยบังคับแดดฝนได้ดังใจ
ส่วนต้นอ้อล้อลมนั่นเล่า ก็อาจจะไม่ได้พิศวาสอะไรเลยกับสายลม

ที่ต้นไม้ทำได้ ก็คือเติบโตไปทีละวันๆ
ที่ต้นอ้อทำได้ ก็คือไม่ต้านแรงลม
ที่คนเรา ทำได้ ก็อาจจะเป็นเพียงแค่ดำเนินชีวิตไปตามธรรมดา
มีความสุขแบบที่ไม่จำ เป็นต้องฝืนใจ
มีความรักแบบที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรน

เราถูกสอนมา โดยหลายสิ่งหลายอย่างรอบๆตัว ให้ไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีที่สุด
แต่พอได้มา ตามประสงค์ มันก็ยังไม่สมความปรารถนา
มีสิ่งที่ดีกว่ารอข้างหน้าอยู่ร่ำ ไป
ดีที่สุดนั้นไม่มีจริง แต่เหมาะสมที่สุดเท่านั้นหรอกที่อาจจะเป็นไปได้
สิ่งที่เรามีอยู่และฝัน ที่ไม่ไกลเกินเอื้อม อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราแต่ละคนแล้วก็ได้
ไม่ ใช่เพราะว่าเรามีคุณค่าน้อยกว่าคนอื่น มีค่าไม่ควรแก่ “สิ่งดีที่สุด” ที่ใครก็อยากได้
หากเป็นเพราะว่าเรามีค่าเกินกว่าที่จะไปแย่งชิงกับใคร
..แม้ ในสิ่งที่ขึ้นชื่อว่า “ดีที่สุด”

สิ่งที่ฉันมี และสิ่งที่ฉันเลือกจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันเสมอ
ดีที่สุดเพราะ เหมาะสมที่สุด
ดีที่สุดเพราะไม่ทำให้เหนื่อยจนเกินไป
ดีที่สุด เพราะให้เรามีเวลาได้ชื่นชม
แทนที่จะต้องเสียเวลาไปกับการวิ่งตาม

เรา ถูกสอนว่า เราต้องตามให้ทันโลก ไม่อย่างนั้นเราจะพลาดบางสิ่งที่คนอื่นชิงได้ไปก่อน
ดูเหมือนว่าโลกทั้ง โลกจะเต้นระบำเป็นจังหวะรุมบ้าที่เร่งร้อนขึ้นทุกวัน
ในขณะที่ใครบางคน กลับพิศมัยที่จะเยื้องย่างไปช้าๆในจังหวะวอลซ์

โลกหมุนเร็วจนเรา ต้องวิ่งถึงจะตามทัน
และบางวันที่เหนื่อยหนัก ..ฉันก็ไม่อยากจะวิ่ง
..ถ้า เราเดินช้าๆ ในขณะที่โลกหมุนเร็วๆ
เราอาจจะทรงตัวได้มั่นคงกว่า

ได้ ตามประสงค์มากไป มันก็อาจจะไม่ดี
บางที..ถ้าไม่ได้ดังประสงค์ หรือถ้าไม่ตั้งความหวังไว้มากไปนัก
ชีวิตเราอาจจะสมปรารถนากว่าที่เป็น อยู่ก็ได้

และวันนี้ ฉันก็เลือกที่จะเดิน
แทนที่จะวิ่งตาม ใคร..ต่อใคร
เพราะว่านั่นทำให้ฉันเห็นโลกทั้งใบได้ชัดเจนกว่า

และ รู้สึกลึกซึ้งถึงการไม่ได้ดังประสงค์
..ทว่า…สมปรารถนา

มารู้จักปุ่ม F บนคีย์บอร์ดกันดีกว่า


หากพูดถึงปุ่มตระกูล F (Function) บนแป้นคีย์บอร์ด น่าจะเป็นปุ่มที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต้องพบเห็นบ่อยๆ และคุ้นเคยกันดี เนื่องจากมันถูกวางเรียงอยู่แถวบนสุดของคีย์บอร์ด แถมยังมีจำนวนมากตั้งแต่ F1 ไปจนถึง F12
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าปุ่มตระกูล F เหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรกันบ้าง เอาเป็นว่าเราลองมาทำความรู้จักคุณสมบัติเฉพาะตัวของปุ่มลัดเหล่านี้กันดี กว่า เพื่อว่าคราวต่อไปคุณจะได้ใช้ประโยชน์กับมันได้มากขึ้น

F1 - นี่คือปุ่มทางลัดเข้าสู่คู่มือช่วยเหลือ (Help) ของโปรแกรมต่างๆ
และถ้า คุณกดปุ่ม Windows Key ตามด้วย F1 มันก็คือปุ่ม Help
ของโปรแกรม ไมโครซอฟท์นั่นเอง

F2 - ถ้าคุณกดปุ่มนี้ขณะอยู่บนจอเดสก์ท็อป มันคือการไฮไลต์โฟลเดอร์หรือไฟล์
เพื่อ เตรียมจะเปลี่ยนชื่อ และถ้าอยู่บนโปรแกรม Microsoft Word
เมื่อคุณกด ปุ่ม Ctrl + F2 มันคือการ Preview เอกสารก่อนพิมพ์

F3 - ปุ่มนี้ใช้เป็นทางลัดเข้าสู่ระบบ Search ของโปรแกรมต่างๆ

F4 - กดปุ่ม Alt + F4 คือการออกจากโปรแกรมที่กำลังใช้งาน

F5 - เมื่อกำลังท่องเว็บไซต์ กดปุ่มนี้คือการทำ Refresh หรือ Reload หน้าเว็บไซต์อีกครั้ง

F6 - คือปุ่มที่ใช้เลื่อน Cursor ไปยัง Address Bar ขณะใช้งานเว็บเบราว์เซอร์

F7 - กดปุ่มนี้เมื่ออยู่ใน Microsoft Word คือการเรียกเช็กระบบตรวจสอบคำผิด

F8 - ปุ่มลัดใช้เรียก Start Menu เวลาอยู่ใน Safe Mode

F9 - ปุ่มลัดเข้าสู่ระบบวัดระยะของโปรแกรม Quark 5.0

F10 - กดปุ่ม Shift + F10 คือการทำงานเสมือนคุณกำลังคลิกขวาที่เมาส์

F11 - กดปุ่มนี้เพื่อการเรียกดูเบราว์เซอร์แบบ Full Screen

F12 - ใช้เป็นคำสั่ง Save as เมื่ออยู่ในโปรแกรม Microsoft Word



ที่มา :marsmag

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไมกบ จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก?


ท่านที่อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ จะสังเกตได้ว่าฝนตกเมื่อไหร่ก็ตามจะได้ยินเสียงกบ จิ้งหวีด และสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆพากันร้องประสานเสียงกันระเบ็งเซ็งแซ่ไปทีเดียว เรื่องนี้คงมีคนสงสัยกันบ้างละว่าการร้องของกบและจิ้งหวีดไปเกี่ยวอะไรกับฝน


ความ เชื่อที่ว่าจิ้งหรีดหรือกบร้องเฉพาะเวลาฝนตกหรือหลังฝนตกไม่ใช่ความจริงทาง วิทยาศาสตร์ แต่มีเหตุบางอย่างที่ ทำให้ดูเหมือนว่าพ้องกันข้อเท็จจริงก็คือเมื่อเกิดฝนตกน้ำฝนจะไหลท่วมรูที่กบและจิ้งหรีดอาศัยอยู่ทำ ให้พวกมันต้องออกมาข้างนอกและทำกิจกรรมที่ตามปกติจะทำในรูหรือในที่กำบัง เช่น หาอาหาร ผสมพันธุ์เป็นต้น จนดูเหมือนว่าฝนเป็นปัจจัยที่ทำให้กบหรือจิ้งหรีดส่งเสียงร้องความจริงเป็น การส่งเสียงตามปกติอยู่แล้ว

แต่เราสามารถได้ ยินด้วยก็เท่านั้นเองนอกจากนั้นความเงียบของโลกหลังฝนตกเป็นเหตุผลเสริมอีก อย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้ยินเสียงของสรรพชีวิตได้ดีเป็นพิเศษ

สรุปแล้วเป็นเรื่อง ของจิตใจและสัญชาตญาณของสัตว์โลกครับ สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณและความรู้สึก นึกคิดคล้ายกับเราที่เป็นมนุษย์เหมือนกันสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงควรเห็นอก เห็นใจซึ่งกันและกันโดยมีความจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวเสริม

ที่มา บทความเรื่อง ทำไมกบ จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก?
วิทยา ศาสตร์รอบตัวจาก สสวท

ทำไมเด็กชายจึงมีเสียงแตกเมื่อย่าง เข้าสู่วัยรุ่น


เด็ก ๆ มีเสียงแหลมใส ฟังดูน่ารัก อันเป็นผลมาจากโครงสร้างของกล่องเสียง กล่าวคือ เด็ก ๆ มีสายเสียงสั้น ซึ่งสายเสียงที่สั้นจะให้เสียงที่มีความถึ่สูง


แต่เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น กล่องเสียงของทั้งหญิงและชายจะขยายตัวใหญ่ขึ้น ทำให้สายเสียงยาวขึ้น หนาขึ้น และกว้างขึ้น เสียงที่ออกมาจึงมีความถี่ต่ำลง การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ชายจึงมีเสียงทุ้มกว่าผู้หญิง ในที่สุดก็ไม่สามารถเปล่งเสียงสูง ๆ ได้


อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เสียงกำลังเปลี่ยนแปลงหรือ “เสียง แตก” เป็นช่วงที่เสียงของเด็กชายวัยรุ่นยังไม่เข้าที่ จึงเปลี่ยนแปรสลับไปมาสูง ๆ ต่ำ ๆ ทำให้เด็กชายวัยรุ่นขวยเขินเพราะมักจะถูกล้อ แต่ในเวลาไม่นานก็จะควบคุมกล้ามเนื้อของกล่องเสียงที่กำลังขยายตัวได้

ในระยะเดียวกันนี้ ร่างกายของวัยรุ่นชายจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อย่างหนึ่งนั้นคือหน้าอกจะขยาย ทำให้รู้สึกเจ็บที่หัวนม คนไทยมีศัพท์เรียกระยะนี้ว่า “นมแตกพาน”

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ลักษณะของคนที่น่ารัก


ลักษณะของคนที่น่ารัก

๑ ไม่เป็นคนอวดดี
๒ ไม่พูดมากจนเขาเบื่อ
๓ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
๔ รู้จักผ่อนสั้น ผ่อนยาว
๕ พูดจาอ่อนหวาน
๖ เป็นคนเสียสละ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น
๗ เป็นคนกตัญญูกตเวที
๘ เป็นคนไม่มีนิสัยริษยา เสียดสีผู้อื่น
๙ เป็นคนมีนิสัยสุขุมรอบคอบ

ผู้หวังความเจริญก้าว หน้าในชีวิตและการงานและหวังให้ตน
เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของคนทั่วไป ก็พึงพยายามเพราะนิสัยดังกล่าวข้างต้นนี้
ทำให้เกิดขึ้นในตน ก็จะมีความสุข ความเจิรญรุ่งเรือง
ในทุกที่สถานในกาลทุกเมื่อ..


ธรรมจักร

ที่มาของคำว่า 18มงกุฎ


คำว่า18มงกุฎ เดิมทีหมายถึง วานร18มงกุฎ เป็นวานรที่มาจากสองเมืองคือ เมืองขีดขินของสุครีพ และเมืองชมพูของท้าวมหาชมพู
วานรสิบแปดมงกุฏนี้แต่เดิมก็คือเทวดา 18 องค์ ที่อาสามาช่วยพระนารายณ์ตอนอวตารมาเป็นพระรามนั้นเอง วานรทั้ง18ตน มีรายนามดังนี้

1 เกยูร
2 โกมุท 3 ไชยาม พวาน
4 มา ลุนทเกสร
5 วิมลวานร 6 ไวยบุตร
7 สัตพลี
8 สุ รกานต์9 สุรเสน
10 นิลขัน
11 นิลปา นัน 12 นิลปาสัน
13 นิล ราช
14 นิลเอก 15 วิสัน ตราวี
16 กุมิตัน 17 เกสรท มาลา 18 มา ยูร
มูลเหตุที่ทำให้คำดีๆว่า "สิบแปดมงกุฎ" กลายความหมายมาเป็นคำไม่ดีนั้น มีที่มาจากเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีกลุ่มนักเลงการพนันใหญ่ที่ถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น ตามร่างกายจะนิยมสักรูปมงกุฎ จนเป็นที่มาของสำนวน "สิบแปดมงกุฎ"ในทางร้าย ที่หมายถึง พวกนักเลงการพนัน พวกที่มีเล่ห์เหลี่ยมกลโกง นักต้มตุ๋น ซึ่งพลอยทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณดีๆของวานรสิบแปดมงกุฎ(เทวดา)เลือนหายไป และกลายความไปในที่สุด

ในหนังสือ "สำนวนไทย" ของ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์)เขียนไว้ว่า สิบแปดมงกุฎ นำมาใช้เป็นสำนวนในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีนักเลงการพนันใหญ่ลือชื่อพวกหนึ่ง กล่าวกันว่าเป็นนักเลงชั้นยอด สักตามตัวเป็นรูปมงกุฎ จึงเรียกว่า สิบแปดมงกุฎ ตามเรื่องราวในรามเกียรติ์ จากนั้นถ้าใครเป็นนักเลงการพนันก็เลยเรียกว่า สิบแปดมงกุฎ

ทุกวันนี้ สิบแปดมงกุฎมิใช่สำนวนที่ใช้เรียกพวกนักเลงพนันเท่านั้น แต่ใช้เรียกพวกมิจฉาชีพทั้งหลาย เป็นสำนวนที่พบเห็นบ่อยมากตามสื่อมวลชนต่าง ๆ ซิ่งมีความหมายถึงพวกที่ยักยอก ต้มตุ๋น หลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อแล้วยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินผู้อื่นมาเป็นของตน


วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระคุณแม่มากล้นเกินพรรณนา


(พระคุณแม่มากล้นเกินพรรณนา)



พระ ผู้ให้กำเนิดลูกน้อย
คุณ เลิศลอยเลอเลิศกว่าโลกหล้า
ของ สำคัญท่านให้ไว้คือกายา
แม่ มีค่ามากกว่าสิ่งทั้งปวง
มาก สุดเกินคำจะบรรยาย
ล้น สุดล้นเกินอันใหญ่หลวง
เกิน ประเมินหมดคำทั้งหมดทรวง
พรรณนา สุดห้วงคำมิเคยพอ



ธรรมจักรดอทเน็ต

Culture of France


The culture of France and of the French people has been shaped by geography, by profound historical events, and by foreign and internal forces and groups. France, and in particular Paris, has played an important role as a center of high culture and of decorative arts since the seventeenth century, first in Europe, and from the nineteenth century on, world wide. From the late nineteenth century, France has also played an important role in modern art, cinema, fashion and cuisine. The importance of French culture has waned and waxed over the centuries, depending on its economic, political and military importance. French culture today is marked both by great regional and socioeconomic differences and by strong unifying tendencies.

Whether in France, Europe or in general, consists of beliefs and values learned through the socialization process as well as material artifacts. Culture guides the social interactions between members of society and influences the personal beliefs and values that shape a person's perception of their environment: "Culture is the learned set of beliefs, values, norms and material goods shared by group members. Culture consists of everything we learn in groups during the life course-from infancy to old age."

The conception of "French" culture however poses certain difficulties and presupposes a series of assumptions about what precisely the expression "French" means. Whereas American culture posits the notion of the "melting-pot" and cultural diversity, the expression "French culture" tends to refer implicitly to a specific geographical entity (as, say, "metropolitan France", generally excluding its overseas departments) or to a specific historico-sociological group defined by ethnicity, language, religion and geography. The realities of "Frenchness" however, are extremely complicated. Even before the late nineteenth century, "metropolitan France" was largely a patchwork of local customs and regional differences that the unifying aims of the Ancien Régime and the French Revolution had only begun to work against, and today's France remains a nation of numerous indigenous and foreign languages, of multiple ethnicities and religions, and of regional diversity that includes French citizens in Corsica, Guadeloupe, Martinique and elsewhere around the globe.

The creation of some sort of typical or shared French culture or "cultural identity", despite this vast heterogeneity, is the result of powerful internal forces — such as the French educational system, mandatory military service, state linguistic and cultural policies — and by profound historic events — such as the Franco-Prussian war and the two World Wars — which have forged a sense of national identity over the last 200 years. However, despite these unifying forces, France today still remains marked by social class and by important regional differences in culture (cuisine, dialect/accent, local traditions) that many fear will be unable to withstand contemporary social forces (depopulation of the countryside, immigration, centralization, market forces and the world economy).

In recent years, to fight the loss of regional diversity, many in France have promoted forms of multiculturalism and encouraged cultural enclaves (communautarisme), including reforms on the preservation of regional languages and the decentralization of certain government functions, but French multiculturalism has had a harder time of accepting, or of integrating into the collective identity, the large non-Christian and immigrant communities and groups that have come to France since the 1960s.

The last fifty years has also seen French cultural identity "threatened" by global market forces and by American "cultural hegemony". Since its dealings with the 1993 GATT free trade negotiations, France has fought for what it calls the exception culturelle, meaning the right to subsidize or treat favorably domestic cultural production and to limit or control foreign cultural products (as seen in public funding for French cinema or the lower VAT accorded to books). The notion of an explicit exception française however has angered many of France's critics.

The French are often perceived as taking a great pride in national identity and the positive achievements of France (the expression "chauvinism" is of French origin) and cultural issues are more integrated in the body of the politics than elsewhere (see "The Role of the State", below). The French Revolution claimed universalism for the democratic principles of the Republic. Charles de Gaulle actively promoted a notion of French "grandeur" ("greatness"). Perceived declines in cultural status are a matter of national concern and have generated national debates, both from the left (as seen in the anti-globalism of José Bové) and from the right and far right (as in the discourses of the National Front).

According to Hofstede's Framework for Assessing Culture, the culture of France is moderately individualistic and high Power Distance Index.

Now, the interracial blending of some native French and newcomers stands as a vibrant and boasted feature of French culture, from popular music to movies and literature. Therefore, alongside mixing of populations, exists also a cultural blending (le métissage culturel) that is present in France. It may be compared to the traditional US conception of the melting-pot. The French culture might have been already blended in from other races and ethnicities, in cases of some biographical research on the possibility of African ancestry on a small number of famous French citizens. Author Alexandre Dumas, père possessed one-fourth black Haitian descent,and Empress Josephine Napoleon who was born and raised in the French West Indies from a plantation estate family. We can mention as well, the most famous French singer Edith Piaf whose grandmother was a North African from Kabylie.

For a long time, the only objection to such outcomes predictably came from the far-right schools of thought. In the past few years, other unexpected voices are however beginning to question what they interpret, as the new philosopher Alain Finkielkraut coined the term, as an "ideology of miscegenation" (une idéologie du métissage) that may come from what one other philosopher, Pascal Bruckner, defined as the "sob of the White man" (le sanglot de l'homme blanc). These critics have been dismissed by the mainstream and their propagators have been labelled as new reactionaries (les nouveaux réactionnaires), even if racist and anti-immigration sentiment has recently been documented to be increasing in France at least according to one poll. Such critics, including Nicolas Sarkozy, the current President of France, take example on the United States' conception of multiculturalism to claim that France has consistently denied the existence of ethnic groups within their borders and has refused to grant them specific rights.

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระผู้หาผู้เสมอเหมือนมิได้

ศาสตราจารย์พิเศษเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต

มี คนขี้สงสัยบางคนเปรยว่า

อ่านพุทธวจนะบางตอนแล้ว ฟังดูคล้ายพระพุทธองค์ทรงยกย่อง พระองค์เอง ผมถามว่าทำไมรู้สึกอย่างนั้น เขาบอกว่าไม่ทราบ แต่ทำไมพระพุทธวจนะจึงมักตรัสว่าเราเป็นคนเลิศในโลก เราหาคนเปรียบปานมิได้ ทำนองนี้

ท่านผู้ขี้สงสัยนั้นกล่าวต่อว่า ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่ตรัสตอบอุปกาชีวก อุปกาชีวกเพียงถามว่า

ท่านบวชอุทิศใคร

พระ พุทธเจ้ากลับตอบในทำนองยกย่องพระองค์เองเสียยืดยาวว่า

เราเอาชนะ ทุกอย่าง ตรัสรู้ทุกอย่าง ไม่ติดอยู่ในสิ่งทั้งปวงหลุดพ้นเพราะทำลายตัณหา เราตรัสรู้เองแล้วจะพึงอ้างใครว่าเป็นครูของเราเล่า

คนเช่นเราไม่มี ใครสอน คนเช่นเราไม่มีในโลกพร้อมทั้งเทวโลก เราเป็นอรหันต์ เป็นศาสดาหาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียวเป็นสัมมาสัมพุทธะเป็นผู้ดับเย็นแล้ว บรรลุนิพพานแล้ว

ผม ตอบท่านผู้ขี้สงสัยว่า

ไม่เห็นเป็นการ ยกย่อง ตนเองเลย ผมกลับมองไปว่าพระพุทธองค์ตรัสความจริง ความจริงมันเป็นเช่นนั้น ถ้าพระองค์ไม่เป็นเช่นนั้นจริงสิ จึงจะถือว่าทรงยกย่องพระองค์เอง

ทุกอย่าง ที่ตรัสเป็นความจริงหมด เช่น

พระพุทธองค์ไม่มีครูสอน พระพุทธองค์ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง

อาจสงสัยว่า อ้าวแล้วครู (วิศวามิตรและท่านอื่น ) ผู้ประสิทธิ์ประสาทศิลปวิทยาการให้ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ อาฬารดาบาสอุทกดาบสผู้ประสาทวิชาโยคะให้จนบรรลุสมาบัติขั้นแนวสัญญานาสัญญา ยตนะเล่า มิใช่ครูของพระองค์หรือ ทำไมตรัสว่าไม่มีครู

ใช่ครับ ท่านเหล่านั้นเป็นครูของพระองค์ วิศวามิตรเป็นต้นเป็นครูทางศิลปวิทยาการ ดาบสทั้งสองเป็นครูทางฌานสมาบัติ

แต่ครูในทางตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ไม่มี

ที่ว่าพระองค์ไม่มีใครสอน คือไม่มีใครสอนทางตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณให้ ครูในทางตรัสรู้ไม่มีครับ พระองค์ทรงรู้ด้วยพระองค์เอง

นี่ก็เป็นความจริง ที่ว่าคนเช่นพระพุทธองค์ไม่มีในโลกพร้อมทั้งเทวโลก

หมายความว่ามนุษย์ทั้งปวงในมนุษย์โลก และเทวดาทั้งปวงในสวรรค์ไม่มีใครเท่าพระองค์ เพราะมนุษย์และเทวดาเหล่านั้นยังตกอยู่อำนาจกิเลสอยู่ ไม่พ้นวงจรการเวียนว่ายตายเกิด จะเทียบเท่าพระสัมมาสัมพุทธะได้อย่างไร

นี่ ก็เป็นความจริงอีกนั่นแหละ

การตรัสความจริง ไม่เห็นจะเป็นการยกตนเองเลย

ที่ตรัสว่า ในโลกนี้ ทรงจำกัดกาลสมัยด้วยคือ ในยุคนี้ ไม่มีสัมมาสัมพุทธะผู้ประเสริฐเท่าพระองค์ ประเสริฐเท่าพระองค์ก็มีแต่พระสัมมาสัมพุทธด้วยกัน ซึ่งก็ต้องอยู่ในยุคอื่น

พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งปวงและพระพุทธเจ้าใน ปัจจุบัน (คือพระโคตมะพุทธ) เสมอภาคกันในการตรัสรู้ ไม่มีพระองค์ใดยิ่งหย่อนกว่าพระองค์ใด

นี้ก็เป็นความจริงอีก

พระ สารีบุตร อัครสาวกก็เคยประกาศด้วยความมั่นใจว่าในปัจจุบันไม่มีใครรู้เกินกว่าพระ พุทธเจ้า

พระสารีบุตรประกาศด้วยความมั่นใจเช่นนี้ ไม่ได้คิดเอาเองส่งเดช หรือเพื่อเอาพระทัยพระพุทธเจ้าแต่เป็นการพูดความจริง โดยอาศัย แนวแห่งธรรมที่ท่านรู้ (ธมฺมนฺวโย วิทิโต) ดังที่ท่านกราบทูลต่อพระพักตร์พระพุทธองค์ว่า

"ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่มีญาณหยั่งรู้พระทัยของพระสัมมาสัมพุทธะ ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

แต่ข้าพระองค์รู้แนวธรรม เปรียบเสมือนเมืองใหญ่มีประตูสำหรับเข้า-ออกทางประตูนี้ สัตว์เล็กก็เข้า-ออกทางประตูนี้ ฉันใด แนวแห่งธรรมก็ฉันนั้น

ข้า พระองค์รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงละนิวรณ์ได้ ทรงมีพระทัยตั้งมั่นในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต และในปัจจุบัน ก็อาศัยแนวทางนี้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเช่นกัน"

คำ พูดของพระสารีบุตรหมายความว่า ไม่มีใครรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้าปัจจุบัน

ถึงท่าน (พระสารีบุตร) ไม่มีญาณหยั่งรู้ใจของพระพุทธเจ้าในอดีต และอนาคต ท่านก็ยืนยันได้ว่า พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ก็ไม่มีองค์ใดรู้เกินกว่าพระพุทธองค์ปัจจุบัน

พูด อีกนัยหนึ่งก็คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงรู้เท่า ๆ กัน ไม่มีองค์ไหนรู้เกินกว่าองค์ไหน

พระสารีบุตรท่านยืนยันข้อ สรุปนี้ มิได้เดาเอา หากแต่อนุมานเอาตามแนวแห่งการตรัสรู้ธรรม อนุมานอย่างไร ก็เหมือนดูเมืองทั้งเมืองไม่เห็นมีรูมีช่องไหนเลย ยกเว้นประตูใหญ่ประตูเดียว ก็อนุมานเอาว่า ไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์ย่อมเข้า-ออกผ่านประตูนี้ประตูเดียว นี้คือวิธีอนุมาน

อนุมาน คืออาศัยหลักฐานที่ประจักษ์ชัดแล้วสาวไปหาข้อสรุปหรือคำตอบ

พระสารี บุตรท่านยกประสบการณ์ที่ตนเองประจักษ์ว่า

การละนิวรณ์ได้ การบำเพ็ญสติปัฏฐานและ โพชฌงค์ ทำให้บรรลุธรรมได้เพราะตัวท่านก็บรรลุพระอรหัตผลผ่านทางนี้

แล้ว ก็อนุมานต่อไปว่า

พระ โคตรมะพุทธองค์ปัจจุบันก็บรรลุผ่านทางนี้ พระพุทธเจ้าในอดีต และอนาคตก็ผ่านทางนี้ ไม่มีพระองค์ใดบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณผ่านทางอื่น

เพราะ ฉะนั้นจึง ไม่มีใครเกินกว่าพระพุทธเจ้าในทางตรัสรู้ พระพุทธเจ้าอื่น ๆ ก็ไม่เกิน เพราะตรัสรู้เรื่องเดียวกัน และตรัสรู้เท่า ๆ กัน

แต่ สำหรับมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ไม่ว่าโลกไหนยุคไหน หาผู้เสมอเหมือนพระสัมมาสัมพุทธะมิได้แล




ที่มา พระผู้หาผู้เสมอเหมือนมิได้ ใน บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์ โดย ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต, หน้า ๔๓-๔๖)

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความหมายของคำว่า แม่


ในสังคมต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญกับ "ความเป็นแม่" และคำเรียกผู้ที่ให้กำเนิดสมาชิกใหม่ของแต่ละสังคมส่วนใหญ่จะเป็นคำแรกที่ เด็กสามารถเปล่งเสียงได้ก่อน "แม่" ดังนั้นความหมายของคำว่า "แม่" ทุกภาษาและวัฒนธรรมจะมีคุณค่าอย่างมาก และหากสังเกตจะพบว่า "แม่" เป็นเสียงที่เด็กสามารถเปล่งได้อย่างง่าย และเป็นคำแรกที่สามารถออกเสียงนั้นได้อย่างมีความหมาย

นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น

ภาษา ไทย เรียก แม่
ภาษาจีน เรียก ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษา ฝรั่งเศส เรียก la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ เรียก mom , mam
ภาษาโซ่ เรียก ม๋เปะ
ภาษา มุสลิม เรียก มะ
ภาษาไท เรียก ใต้คง เม เป็นต้น

"แม่" เป็นคำโดดหรือคำไทยที่บ่งบอกความสัมพันธ์อันอบอุ่นลึกซึ้งระหว่างผู้หญิงกับ ลูก แม่ หมายถึง ผู้มีพระคุณ ผู้ให้กำเนิด ให้น้ำนมลูกดื่มกิน ให้ความรักความเมตตาและปกป้องดูแลลูกจนเติบใหญ่ คำว่า "แม่" มักถูกนำไปใช้ร่วมกับคำอื่น ๆ โดยมีความหมายแตกต่างกันออกไป พอจะแบ่งแยกออกได้เป็นประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. แม่ ในฐานะเป็นคำที่ใช้แบ่งแยกเพศและบ่งบอกบทบาท ฐานะ สถานภาพและอากัปกิริยาของผู้หญิง เช่น แม่… (น.) : คำเรียกหญิงทั่วไป เช่น แม่นั่น แม่นี่ ; แม่ค้า (น.) : ผู้หญิงที่ดำเนินการค้าขาย ; แม่ครัว (น.) : หญิงผู้ดูแลครัว หุงหาอาหาร ; แม่คู่ (น.) : นักสวดผู้ขึ้นต้นบท ; แม่นม (น.) : หญิงผู้ให้นมเด็กกินแทนแม่ ; แม่บ้านแม่เรือน (น.) : หญิงดูแลบ้านเรือน ; แม่แปรก (น.) : หญิงผู้จัดจ้านหรือเป็นหัวหน้ากลุ่ม ; แม่มด (น.) : หญิงหมอผี หญิงคนทรง หญิงเข้าผี ; แม่ยาย (น.) : คำเรียกแม่ของเมีย ; แม่ม่าย (น.) : หญิงที่มีผัวแล้วแต่ผัวตายหรือเลิกร้างกันไป ; แม่ยั่วเมือง (น.) : คำเรียกพระสนมเอกแต่โบราณ ; แม่ย้าว (น.) : หญิงผู้เป็นแม่เรือน ; แม่รีแม่แรด (ว.) : ทำเจ้าหน้าเจ้าตา ; แม่แรง (น.) : หญิงผู้เป็นกำลังสำคัญในการงาน, เครื่องดีดงัดหรือยกของหนัก ; แม่เลี้ยง (น.) : เมียของพ่อที่ไม่ใช่แม่ตัว, หญิงที่เลี้ยงลูกบุญธรรม ; แม่เล้า (น.) : หญิงผู้กำกับควบคุมดูแลซ่องโสเภณี ; แม่สื่อแม่ชัก (น.) : ผู้พูดชักนำให้หญิงกับชายรักกัน ; แม่อยู่หัว (น.) : คำเรียกพระมเหสี เป็นต้น

2. แม่ เป็นคำที่ใช้บ่งบอกฐานะของผู้ปกป้องคุ้มครอง เช่น แม่ย่านาง (น.) : ผีผู้หญิงผู้รักษาเรือ นางไม้ ; แม่ซื้อ, แม่วี (น.) : เทวดาหรือผีที่คอยดูแลทารก เป็นต้น

3. คำว่า แม่ ยังถูกนำมาใช้เรียกผู้เป็นหัวหน้าหรือเป็นนาย บ่งบอกฐานะของผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลและควบคุม เช่น แม่กอง แม่ทัพ เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม ความหมายหลักของคำว่า แม่ ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นผู้ให้ชีวิตหรือหญิงผู้ให้กำเนิดบุตร หญิงผู้ปกป้องคุ้มครองและดูแลรักษา สังคมไทยยังใช้คำว่าแม่ตามความหมายนี้เรียกสิ่งดีงามตามธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อยกย่องเทอดทูนในฐานะผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงชีวิต เช่น แม่น้ำ แม่โพสพ แม่ธรณี เป็นต้น ความหมายของคำว่าแม่ในลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดอย่างชัดเจนว่าสังคมไทย แต่โบราณมายกย่องและให้เกียรติสตรีเพศผู้เป็นแม่ ตระหนักในบทบาทหน้าที่และบุญคุณของแม่ต่อชีวิตของลูก ๆ ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย

ในบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย แม่ คือ ผู้เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อลูก ๆ คอยดูแลเอาใจใส่และประคบประหงมลูกจนเติบใหญ่ ความรักของแม่ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ สังคมไทยมักพูดถึงแม่ในฐานะของผู้ที่รักลูกยิ่งชีวิต พร้อมจะตกระกำลำบากเพื่อลูกของตนโดยไม่สำนึกเสียใจ นางจันทร์เทวีถูกขับออกจากเมือง ต้องระเหเร่ร่อนไร้ที่ซุกหัวนอนเพราะคลอดลูกเป็นหอยสังข์ แต่นางก็ยังรักและเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงโดยไม่เคยคิดรังเกียจเดียดฉันท์ แม้แต่สัตว์อย่างนางนิลากาสร ก็ยังรักและหวงแหนลูกอย่างทรพี ปกป้องลูกของตนมิให้ถูกฆ่าดังเช่นลูกของตัวอื่น ๆ

แม้ว้าโดยทั่วไปแล้ว คำว่า "แม่" จะบ่งบอกความหมายของการเสียสละ ความรักและความผูกพันที่ผู้หญิงที่มีต่อลูกของตน แต่การที่สังคมไทยมีลักษณะวัฒนธรรมเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนชั้น ทำให้ความหมายของการเป็นแม่ ตลอดจนบรรทัดฐาน แบบแผน พฤติกรรมและบทบาทฐานะของผู้หญิงในวัฒนธรรมของแต่ละชนชั้นย่อมแตกต่างกันไป



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
catholic.or.th