วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ "ไอศกรีม"หรือที่เรียกว่า "ไอติม"ในประเทศไทย

ประวัติ "ไอศกรีม"หรือที่เรียกว่า "ไอติม"ในประเทศไทย

ไอศกรีม" หรือ "ไอติม" ที่คนไทยเรียกกันนั้น เป็นของหวาน และเย็น ที่ชื่นชอบกันทุกเพศทุกวัย ทุกชาติ ทุกภาษา ที่สำคัญสามารถ ปรับประยุกต์ ให้เข้ากับความนิยมของแต่ละชาติได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนอาจจะกล่าว ได้ว่า ไอศกรีมเป็นอาหารของคนทั้งโลกา รได้กินไอศกรีมถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง

"ไอศกรีม" ทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ Ice Cream จนคนทั่วไปคิดว่า มีถิ่นกำเนิดมาจากตะวันตก แต่จริง ๆ แล้วกำเนิดในประเทศจีนนี่เอง เกิดจากการ นำหิมะ บนยอดเขามาผสมกับนํ้าผลไม้ และกินในขณะ ที่หิมะยัง ไม่ทันละลายดี จนปลายศตวรรษที่ 13 มาร์โคโปโล เดินทางไปจีน และชื่นชอบ จึงนำสูตรกลับไป อิตาลีขณะเดินทางมีการเติมนมลงไป กลายเป็นสูตร ของเขาโดยเฉพาะ และแพร่หลายไปในอิตาลี ฝรั่งเศสและข้ามไปอังกฤษ คนอิตาลีถือว่าตนเองเป็นต้นตำรับไอศกรีมแบบที่นำมาปั่นให้เย็นจนแข็ง เรียกว่าเจลาติน (Gelatin) แล้วแพร่หลายไปในฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 16 ข้ามไปอเมริกา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนอเมริกันมาก ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ลงทุนถึง 200 ดอลลาร์ซื้อเครื่องปั่นไอศกรีม ไปทำกินเองในหน้าร้อน ในเมืองไทยไอศกรีมเข้ามาช่วงไหนไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าคงมาหลังสมัย ร.5 ซึ่งมีการผลิตนํ้าแข็งกินเอง ไอศกรีมตอนนั้น ทำจากนํ้าหวานหรือนํ้าผลไม้นำไปปั่นเย็นจนแข็ง ไม่มีนมหรือครีมผสมด้วย เรียกว่า "ไอติม" ใช้แรงคนในการปั่น โดยมีหม้อทองเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลาง 50-60 ซม.สูง 30 ซม.ภายในมีรูคล้ายลังถึงสำหรับเสียบกระบอกโลหะ ทรงกลมขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม. ภายในบรรจุนํ้าผลไม้หรือนํ้าหวาน กระบอกนี้คือแม่พิมพ์ที่ทำให้ไอติมเป็นแท่ง

การปั่นต้องใช้มือจับหูหม้อทองเหลืองทั้ง 2 ข้าง และแกว่งหรือหมุนไปมาในถังไม้ที่ใส่นํ้าแข็งผสมเกลือ หลังจากปั่นได้ 1/2 - 1 ชม.ไอของความเย็นจะเริ่มเกาะรอบนอกของกระบอก นํ้าหวานข้างในจะเริ่มแข็งตัว ช่วงนี้เองที่ต้องเสียบไม้เข้าไป ตรงกลางเพื่อ เอาไว้จับกิน หมุนต่อไปอีกจนไอติมแข็งตัว จึงเอากระบอกโลหะไปจุ่มในนํ้าอุ่นเพื่อ ให้ดึงไอติมออกจากกระบอกง่ายขึ้น นำไปใส่กระติกเร่ขาย ปัจจุบันมีพ่อค้าฟื้นการทำไอติมแบบนี้ออกขายด้วย

ต่อมาบริษัทป๊อบผู้ผลิตไอศกรีมตราเป็ด ซึ่งเป็นผู้ผลิตไอศกรีมรายแรกของเมืองไทย ได้สั่งซื้อเครื่องทำไอศกรีมจากต่างประเทศ มาผลิตไอศกรีมได้ครั้งละมาก ๆ เน้นความสะอาดและคุณภาพ ทำให้ไอศกรีมเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ไอศกรีมตราเป็ดยุคแรก ๆ ยังเป็นไอติมหวานเย็น ต่อมาจึงมีการดัดแปลงรสชาติใหม่ ๆ เป็น เป็นรสระกำ เฉาก๊วย ลอดช่อง โอเลี้ยง ข้าวเหนียวแดง ถั่วดำ ฯลฯ พร้อมกับนำสูตรใส่นมจากต่างประเทศใส่ถ้วย ทำให้เนื้อไอศกรีมละเอียดและเนียนคนจึงนิยมกินไอศกรีมใส่นมหรือครีมกันมาก

อย่างไรก็ตามคนไทยสามารถดัดแปลงไอศกรีมจนเป็นเอกลักษณ์ของไทยคือ ไอติมกะทิ โดยใช้กะทิสดผสมนํ้าตาล ใส่แทนนมและครีม ที่อาจจะเป็นไปได้มากว่าไอศกรีมกะทิมีต้นกำเนิดจากเมืองไทยเป็นแห่งแรก และไม่ต้องใช้กระบอกทำเป็นแท่ง แต่ใช้ตักใส่ถ้วยเป็นลูก ๆ ซึ่งมีคำเรียกขานใหม่ว่า "ไอติมตัก" ต่อมาจึงมีการตักใส่ถ้วยกรอบ และขนมปังผ่ากลาง จุดเด่นของไอศกรีมกะทิคือดัดแปลงให้มีรสชาติต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น เติมลอดช่อง เม็ดแมงลัก ข้าวโพด ขนุน ทุเรียน และเผือก เป็นต้น

"ไอติมตัก" เจ้าอร่อยสมัยก่อนอยู่แถวคลองหลอด และเยาวราช โดยเฉพาะ ที่เยาวราช เป็นรถเข็นอยู่ในซอยข้างธนาคารไทยพาณิชย์ คนขายเป็นอาแป๊ะ อัธยาศัยไมตรีดีมาก ตั้งเก้าอี้ให้คนกินรอบ ๆ รถ มีคนรอต่อคิวกินกันบ้านหลาม คนหนึ่งลุกอีกคนนั่งต่อทันทีราวกับเก้าอี้ดนตรี ท่านที่อยากลิ้มลองไอติมเจ้าเก่า ขายมากกว่า 40 - 50 ปี ตอนนี้มีอยู่ร้านหนึ่งใกล้ ๆ กับภัตตาคารแกแล็กซี่ ถ.พระราม 4 ร้านนี้เป็นร้านขวัญใจ คนเดิมของคอไอติม ย่านศรีนคร แม้จะย้ายมาอยู่ ณ ที่ปัจจุบันก็ยังรักษาเอกลักษณ์ และความอร่อยอยู่

ไอศกรีมในเมืองไทยสมัยแรก ๆ จะเรียกว่าเป็นอุตสาหกรรม ภายในครัวเรือน ก็ว่าได้ ไม่ค่อยมียี่ห้อ บ้านไหนมีฝีมือก็ทำออกมา ใครมีหัวการค้าก็มีคน รับไปขายอีกต่อหนึ่ง นักเรียนหลายคนมารับไปขาย เป็นรายได้พิเศษ หลังเลิกเรียน ขณะที่ผู้ใหญ่อีกเป็นจำนวนมาก ที่ขายไอติม เป็นอาชีพหลัก และเป็นอาชีพที่ไม่ต้องลงทุนมาก เพียงแต่วางเงินมัดจำค่ากระติกใส่ไอติมและต้นทุนอีกเล็กน้อย ก็สะพายขึ้นไหล่ไปขายได้ทันที จากกระติกสะพายไหล่กลายเป็นรถเข็นที่มีตู้เก็บความเย็น สามารถใส่ไอติมได้คราวละมาก ๆ เดินเข็นขายได้ทั้งวัน ต่อมาจึงเป็นซาเล้งหรือสามล้อถีบ ซึ่งช่วงแรก ๆ ยังไม่นิยมนักเพราะต้นทุนสูง บริษัทป๊อปจึงลงทุนทำเป็นรถซาเล้งเพิ่มขึ้น มาจึงได้รับความนิยมเพราะคนขายไม่ต้องซื้อรถเอง โดยไอติมตราเป็ดเป็นยุคแรก ๆ ที่เริ่มพัฒนามาใช้รถสามล้อถีบ คนขายมีถือ Duck Call เสียงดังคล้ายเป็ด เพื่อเรียกลูกค้า นับตั้งแต่นั้นมาสามล้อถีบก็กลายเป็นทั้งสัญลักษณ์ และกลยุทธ์ในการขายไอศกรีม หลายยี่ห้อ เช่น โฟร์โมสต์ ครีโม วอลล์ ฯลฯ ไอติมเหล่านี้มีลูกเล่นกับลูกค้าหลายรูปแบบ บางคนอาจจะเคยกินไอติมที่ปลายไม้ป้ายสีแดง แล้วนำไปแลกได้ฟรีอีก 1 แท่ง ขณะที่ไอติมป๊อปใช้วิธีสลักคำว่าฟรีบนไม้ ใครพบคำนี้นำมาแลกฟรี 1 แท่ง บางยี่ห้อใช้วิธีทายไม้สั้นไม้ยาว กำถั่ว โยนหัวโยนก้อย เหล่านี้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้ผลดีมาก ซาเล้งขายไอติมซึ่งมีทั้งแบบแท่งและถ้วยครองตลาดอยู่นาน ขณะที่ร้านขายไอศกรีมยังไม่มีใครทำ กระทั่งปี 2520 "ศาลาโฟร์โมสต์" จึงเกิดขึ้น และเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นมาก เด็กมัธยมสมัยนั้นเลิกเรียนหรือดูหนังเสร็จ ต้องนัดกันไป ที่ศาลาโฟร์โมสต์ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นการแข่งขันก็เริ่มรุนแรงขึ้น ไอศกรีมลิขสิทธิ์ต่างประเทศ เข้ามาเมืองไทยอย่างมากมาย เช่นสเวนเซ่นส์,บาสกิ้น - รอบบิ้น และแดรี่ควีน

ในทางการค้าปัจจุบันมีการจัดกลุ่มไอศกรีมไว้หลายประเภทเช่น Plain Ice Cream ไอศกรีมที่ประกอบด้วยสารให้สีและกลิ่นในปริมาณน้อยกว่า 5% ของส่วนผสมทั้งหมด ,Chocolate มีส่วนผสมของโกโก้หรือชอกโกแลต, Fruit ไอศกรีมประกอบด้วย ผลไม้หรือกลิ่นผลไม้,Nut ไอศกรีมที่ผสมผลไม้เนื้อแข็ง เช่นอัลมอนด์ วอลนัท ถั่วลิสง ฯลฯ, Frozen Custard, French Ice Cream และ French Custard Ice Cream ไอศกรีมที่มีส่วนผสมของไข่แดงไม่น้อยกว่า 1.4 % ของนํ้าหนักผลิตภัณฑ์, Fruit Sherbet ไอศกรีมทำจากนํ้าผลไม้ นํ้าตาลและนม ,Confection ไอศกรีมที่มี ลูกกวาดผสม เช่น Chocolate Chip, Neapolitan ไอศกรีม 2 รสในถ้วยเดียวกัน,Soft Serve Ice Cream หรือ Ice Milk ไอศกรีมที่ไข จากเครื่องปั่นไอศกรีมโดยตรงไม่ใช้การตัก และ Rainbow Ice Cream ไอศกรีมที่ไขจากเครื่องปั่นเช่นเดียวกัน แต่มีสีต่าง ๆ 6 สีขึ้นไป

ไอศกรีมเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ทำ ที่สำคัญเหมาะกับเด็กที่กำลัง เจริญเติบโตหรือคนที่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก ปัจจุบันมีการผลิตไอศกรีมภูมิปัญญาไทยจากผลไม้ และสมุนไพรของไทยเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก บางอย่างไม่นึกว่าจะทำได้ เช่น กล้วยเล็บมือนาง น้อยหน่า มะขาม เสาวรส หรือไอศกรีมดอกไม้ เช่นดอกกุหลาย ดอกเก๊กฮวย และดอกกระเจี๊ยบแดง เป็นต้น

les caractéristiques

1.Quelle sont les cinq qualités que vous préférez?

- Je suis gaie,volontaire et sociable



2.Quelles sont les cinq caractéristiques que vous n'aimez pas?

- Je n'aime pas les gen qui sont timide, bagarreur ,fainéantse ,menteux et agressive.



3. Utilisez trois adjectif pour vous décrire?

- Je suis gaie,capricieux et bagarreur

ประโยชน์ของกาแฟ





****-****ประโยชน์ของกาแฟ****-****




1. ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B มีผู้วิจัยพิสูจน์แล้วว่า กาแฟมีประโยชน์ในการป้องกัน โรคดังกล่าว


2. ป้องกันโรคหอบ โรคนี้ คือ อาการ ภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปเมื่อมีประสาทสำรองไม่ถูกกระตุ้น จะไม่มีอาการหอบเกิดขึ้นง่ายๆ แต่ถ้าหากประสาทสัมผัสสำรองถูกกระตุ้น จะเกิดอาการหอบทันที และคาเฟอีนในกาแฟจะระงับการตึงเครียดของประสาทสัมผัสสำรอง ลดการเกิดโรคหอบ


3. ลดการเกิดโรคตับจากสุรา ตามที่นักวิชาการสำรวจแล้วพบว่า กาแฟช่วยลดผลร้ายที่จะมีต่อตับ แต่ยังต้องวิจัยต่อไปว่า สารใดที่มีประโยชน์ดังกล่าว และมีผลต่อสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดโรคตับแข็งหรือไม่ นอกจากแอลกอฮอล์


4. ป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งในช่องปาก จากผลการทดลองจริง พบว่ากาแฟมีประสิทธิภาพป้องกันโรคขั้นต้น โดยเฉพาะในคาเฟอีนมีกรดอะซิติก ที่ช่วยป้องกันโรค


5. ขับไล่ความชรา ออกซิเจนเป็นสารที่ร่างกายต้องการมากก็จริง แต่ถ้ามีออกซิเจนมากไป ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงและแก่เร็ว โดยเฉพาะกาแฟที่เข้มข้น จะทำให้ออกไซด์แตกตัว ลดการเกิดมะเร็งได้ กระตุ้นการเผาผลาญอาหารในร่างกาย


6. กาแฟลดอัตราคอเลส-เตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ในกาแฟมีนิโคติน แต่ไม่ใช่ชนิดเดียวกับในบุหรี่ แต่เป็นวิตามิน B รวมชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายต้องการ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด จึงป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือดแข็งตัว


7. ละลายไขมัน กาแฟที่ทานหลังอิ่มอาหาร ช่วยให้ไขมันแตกตัว และให้พลังงานทดแทนจึงลดความอ้วนได้ 8. กาแฟเพิ่มไขมันชนิดดีให้ร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตามผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จะมีไขมันชนิด (HDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะขับไล่คอเลสเตอรอลออกไป ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว 9. แก้ปวดศีรษะ กาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้


10. เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมองและสมรรถภาพสมอง มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่า ความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น นั้นเป็นเพราะกลิ่นกาแฟ ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองเพิ่มขึ้น


11. ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่ม กาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ คาเฟอีน ในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ


12.กาแฟมีสารต้านอนุมูลิอสระกาแฟยังมีสารต้านอนุมูลอิสระด้วย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มโพลีฟีนอลเช่นเดียวกับผักผลไม้ สารตัวนี้มีชื่อว่า “กรดคลอโรจีนิก” เป็นสาเหตุนึงทำให้คนเราเหี่ยวช้าเมื่อทานพอเหมาะในแต่ละวันค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สตรอเบอรี่ ผลไม้แห่งความรัก



****-***สตรอเบอรี่ ผลไม้แห่งความรัก****-****


สตรอเบอรี่ในประเทศไทย มีประวัติความเป็นมายาวนาน คือมีการนำพันธุ์เข้ามาทดลองปลูกหลายยุคหลายสมัยทางภาคเหนือ และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานต้น พันธุ์สตรอเบอรี่ ที่คัดสรรมาแล้วอย่างดี ได้แก่ พันธุ์แคมบริดจ์แฟเวอริท, พันธุ์ทีโอก้า และพันธุ์ซีควอเอีย แก่เกษตรกร หรือรู้จักกันในนามพันธุ์พระราชทาน 13, 16 และ 20 ตามลำดับจนมาถึงตอนนี้สตรอเบอรี่ กลายเป็นผลไม้ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของภาคเหนือ สามารถส่งออกได้ทั้งในลักษณะแช่แข็ง ทำเงินเข้าประเทศได้อย่างกว้างขวาง ทั้งในรูปแบบรับประทานสดและแปรรูป สร้างรายได้แก่เกษตรกรอย่างมาก และในแง่โภชนาการแล้ว "สตรอเบอรี่" ยังมีวิตามินเอ ฟอสฟอรัส แคลเซี่ยม และที่สำคัญคือ มีวิตามินซีจำนวนมหาศาล โดยในวิตามินซีนั้นมีกรดอินทรีย์สำคัญที่เรียกว่า "กรดแอสคอร์บิก" (ascorbic acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายต่อโรคภัยต่าง ๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหวัด เป็นต้น ที่สำคัญคือ ช่วยชะลอความแก่และริ้วรอยก่อนวัยอันควรนอกจากสตรอเบอรี่แล้ว ยังมีผลไม้อีกหลายชนิด เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ กะหล่ำปลี บร็อคเคอรี่ และผักขมแล้ว ด้วยผลที่มีสีแดงสดของสตรอเบอรี่ ยังทำให้มีส่วนประกอบของสารสำคัญที่ชื่อว่าแอโธไซ-ยานิน (anthocyanin) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ชะลอความเสื่อมของดวงตา ที่สำคัญคือยังช่วยยับยั้งเชื่ออีโคไลในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดโรคท้องร่วงและอาหารเป็นพิษอีกด้วย

กลอนปีใหม่

Happiness Depends on More than Years


Happiness depends on more than years.

All one's moments gather to a wave

Passing in a rolling swell of tears,

Passions too immense to name or save.

Yet New Year's is a crest on which to sing,

Now poised between the future and the past.

Each awaits what course the fates may bring,

Winds that never touch the things that last.

Years turn and turn with an hypnotic grace

Even as the depths of life lie still.

Although above one cannot silence face,

Remember that below the divers will.

ประวัติวันปีใหม่ไทย

๑๑๑๑๑--ประวัติวันปีใหม่ไทย ---๑๑๑๑๑๑
ประเพณีปีใหม่ของไทยสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ ตอนต้น ถือวันทาง จันทรคติขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันขึ้นปีใหม่ ในพระราชพีธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความว่าพระราชพิธีขึ้นปีใหม่ วันขึ้น ๑ ค่ำเดือน๕ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชดำริว่าในกฎมนเทียรบาล มีการสมโภชและเลี้ยงลูกขุน ซึ่งตรงกับการเลี้ยงโต๊ะ อย่างฝรั่ง จึงทรงกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลขึ้นเวลาเช้า มีการพระราชกุศลสดับปกรณ์ พระบรมอัฐิ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เวลาค่ำเชิญพระ-ตั้งพระราชอาสน์ที่ ประทับ ณ ศาลาคต มีละครหลวงแสดง และตั้งโต๊ะพระราชทานเลี้ยง
ครั้งต่อมาในรัชกาลที่ ๕ ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นทาง สุริยคติ ถือวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่และโปรดให้ใช้ รัตนโกสินทรศก ในการนับปี ตั้งแต่ ร.ศ. ๑๐๘ เป็นต้นมา สำหรับพระราชพิธีปีใหม่ นั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าเสด็จ เข้าไปรับพระราชทางเลี้ยงณ ท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทพระราชทานฉลากแก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการบางคน ครั้นพระราชทานสิ่งของตามฉลากแล้วเสด็จพระราชดำเนินมาที่ชาลาหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทอดพระเนตรละคร หลวงแล้วเสด็จฯ กลับส่วนวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งเป็นวันพระราช พิธีขึ้นปีใหม่ใน รัชกาลที่ 4 นั้นกำหนดเป็นพระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราชตลอดมาจนทุกวันนี้ถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๖) ทรงพระกรุณโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พุทธศักราชแทนรัตนโกสินทรศก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๕ และต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๖ โปรดให้รวมพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์เถลิงศกสงกรานต์ พระราชพิธีศรีสัจจปานกาลถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเข้าด้วยกันเรียกว่าพระราชพิธีตรุษสงกรานต์ เริ่มการพระราชพิธีตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม ถึงวันที่ ๓ เมษายนการพระราชพิธีในวันที่ ๒๘ มีนาคม เรียกว่าตั้งน้ำวงด้ายมี พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และสวดภาณวารในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย วันที่ ๒๙ มีนาคม เลี้ยงพระ อ่านประกาศสังเวยเทวดา สวดอาฎานาฏิยสูตร ยิงปืนมหาฤกษ์ มหาชัย มหาจักรี มหาปราบยุค วันที่ ๓๐ มีนาคม พระราช-ทานน้ำพระมหาสังข์ทรงเจิมแก่พระราชวงศ์ วันที่ ๓๑มีนาคม พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์วันที่ ๑ เมษายน เสด็จสรงน้ำพระบรมอัฐิและพระอัฐิ ณ หอพระธาตุมณเฑียร เลี้ยงพระ ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย สรงมูรธาภิเษกที่ชานหน้าพระที่นั่งจันทรทิพโยภาส(พระที่นั่งราชฤดีในปัจจุบัน)ถ้ามีพระราชวงศ์จะโสกันต์ก็กำหนดในงานพระราชพิธีนี้สดับปกรณ์พระบรมอัฐิและ พระอัฐิ เวลาบ่ายมีงานอุทยานสโมสร กระทรวงวังจัดที่ลงพระนาม และนามถวายพระพร วันที่ ๒ เมษายน เสกน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสนาราม แล้วเสด็จฯ ไปสรงน้ำ พระพุทธรูปที่หอราชพงศานุสร หอราชกรมานุสร พระศรีรัตนเจดีย์พระมณฑปหอพระ คันธารราษฎร ์ และพระวิหารยอด แล้วสดับ ปกรณ์พระบรมอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้าและ พระอัฐิพระบรมวงศานุวงศ์ที่หอ พระนากเวียนเทียนสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร วันที่ ๓ เมษายน พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ถือน้ำแล้วไปถวายบังคมพระบรมอัฐิ สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ที่หน้าพระที่นั่งสนามจันทร์ ในกำแพงแก้วพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยครั้นต่อมาในรัชกาลที่ ๘ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใน พระปรมาภิไธย พระบาท สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ได้ประกาศให้ใช้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะวันที่ ๑ มกราคม ใกล้เคียงวันแรม ๑ ค่ำเดือนอ้าย เป็นการใช้ฤดูหนาวเริ่มต้นปี และเป็นการสอดคล้องตามจารีตประเพณีโบราณของไทยต้องตามคติแห่งพระบวรพุทธศาสนาและตรงกับนานาประเทศ โดยให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นไป จึงได้กำหนดการพระราชพิธีขึ้นปีใหม่ มีรายละเอียดดังนี้วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๓๐ นาที คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มายัง พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาที คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปสรงน้ำพระพุทธมหามณีรัตน ปฏิมากรที่ในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้วมายัง พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระสงฆ์รับพระราชทานฉันแล้วสดับปกรณ์ ผ้าคู่พระบรม อัฐิสมเด็จ -พระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระอัฐิสมเด็จพระบรมวงศ์วันนี้มีการลงชื่อถวายพระพรที่ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่ เวลา ๑๐ นาฬิกาถึง ๑๖ นาฬิกาวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เวลา ๙ นาฬิกา คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปสรงปูชนียวัตถุ คือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและพระพุทธรูปสำคัญ แล้วสดับปกรณ์ผ้าคู่พระบรมอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรและพระอัฐิพระราชวงศ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล-อดุลยเดช เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โปรดให้ยกการพระราชกุศลสดับปกรณ์ผ้าคู่ในวันขึ้นปีใหม่ไปใช้ในพระราชพิธีสงกรานต์ ซึ่งฟื้นฟูขึ้นใหม่ตามโบราณราชประเพณีซึ่งเป็นเทศกาล สงกรานต์ในวันที่ ๑๓ - ๑๔ - ๑๕ เมษายนต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้งดการ พระราชกุศลสวดมนต์เลี้ยงพระในวันขึ้นปีใหม่ เปลี่ยนเป็นเสด็จออก ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทรงบาตรวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๐๑ มีรายละเอียดดังนี้
วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินโดย รถยนต์พระที่นั่ง จากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานพระราชวังดุสิตไปพระบรมมหาราชวังทรงจุดธูปเทียนถวายนมัสการพระพุทธปฏิมาที่พระแท่นนพปฎลมหา เศวตฉัตรภายในท้องพระโรงเวลา ๗ นาฬิกา เสด็จฯ ลงยังสนามหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยแล้วทรงบาตรพร้อมด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทุกกระทรวง ทบวง กรมโดยจัดเป็นสายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศานุวงศ์ ๕๐ รูปนอกนั้นสายละ ๒๕ รูป รวมพระสงฆ์ ๓๐๐ รูป เสร็จแล้วเสด็จฯ ขึ้น งานนี้แต่งเครื่องแบบปรกติขาว งานนี้มีสังข์ แตร ปี่พาทย์ ประโคม บรรเลงตั้งแต่เสด็จทรงจุดเทียนจนเสด็จขึ้นวันนี้ เวลา ๙ นาฬิกา จนถึงเวลา ๑๗ นาฬิกา สำนักพระราชวัง จะได้จัดที่สำหรับ ลงพระนามและนามถวายพระพรไว้ที่พระบรมมหาราชวังครั้ง พ.ศ. ๒๕๐๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลี่ยนการ พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทรงบาตรขึ้นปีใหม่ ในวันที่ ๑ มกราคมเป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสิ้นปี
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ทรงบาตรขึ้นปีใหม่ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดเป็นงาน ส่วนพระองค์ ณ พระราชฐานที่ประทับ พิธีของราชการและประชาชนสำหรับงานของทางราชการและประชาชนในวันขึ้นปีใหม่ก็จะมีตั้งแต่คืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม จนถึง วันที่ ๑ มกราคมเช่นเคยยึดถือมาเดิมคือในวันสิ้นปี หรือวันที่ ๓๑ ธันวาคม ทางราชการหรือประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ จัดให้มีการรื่นเริง และมหรสพ มีพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพรปีใหม่ แก่ประชาชน สมเด็จพระสังฆราชประทานพรปีใหม่แก่พุทธศาสนิกชนและบุคคลสำคัญของบ้านเมือง เช่น ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ประธาน ศาลฎีกากล่าวคำปราศรัย พอถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. วัดวาอารามต่างๆ จะจัด พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ย่ำฆ้อง กลอง ระฆัง เพื่อแสดงความยินดีต้อนรับรุ่งอรุณแห่งชีวิตของประชาชนในปีใหม่โดยทั่วกัน ตอนเช้าวันที่ ๑ มกราคมก็จะมีการทำบุญตักบาตรสุดแท้แต่การจัด บางปีมีการจัดร่วมกัน บางปีบางท้องที่ก็ไปทำบุญตักบาตรกันที่วัด หรือที่ใดๆ บางท่านบางครอบครัวก็มีการทำบุญตักบาตร หรือการทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านที่สำนักงานของตน

ตำนานวันคริสต์มาส



*-*ตำนานวันคริสต์มาส*-*


คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas


เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร


ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มเทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงามาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย


เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ร้านอาหารญี่ปุ่น(ยะมะโตะ)

ร้านอาหารญี่ปุ่น(ยะมะโตะ)

ยะมะโตะอาหารญี่ปุ่น รัชดาซอย8 - อร่อยจริง ซูชิ ปลาดิบ เทริยากิ ราเมง ข้าวปั้น ใหม่ สด คิดถึงอาหารญี่ปุ่น ต้อง ร้านอาหารญี่ปุ่นยะมะโตะ เท่านั้น
ร้านอาหารญี่ปุ่น สบายๆ สไตล์โมเดิร์น โดยเชฟชื่อดังที่ชาวญี่ปุ่นและรู้จักกันเป็นอย่างดี Mr ฮิซาโอะ มัสซึเอดะ ผู้ซึ่งชาวญึ่ปุ่นขนานนามว่า"จอมยุทธแห่งวงการอาหาร" อาหารญี่ปุ่น ที่เขาทำไม่ว่าจะเป็น ซูชิ ปลาดิบ เทริยากิ ราเมง ข้าวปั้น ล้วนปราณีต พิถีพิถัน ใหม่ สด อร่อยจริง เพราะเขาเป็นผู้มีหัวศิลป์ประดิษฐ์อาหารญี่ปุ่นนานาชนิด เมื่อท่านได้มาที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ยะมะโตะ รัชดาซอย 8อาจกลายเป็นลูกค้าขาประจำโดยไม่รู้ตัว

ร้านอาหารญึ่ปุ่นของเราไม่เหมือนที่อื่น เราคัดสรรวัดถุดิบคุณภาพสูงสุดเท่านั้น ต้องใหม่ สด และยังต้องให้เชฟชื่อดัง เป็นผู้ปรุงความอร่อย เรามีการันตีด้วยเมนูเด็ดๆ อย่างกุ้งเทมปุระฟองดู น้ำฟองดูร้อนๆ รสชาติเข้มข้น ออกรายการสะบัดช่อ ของคุณโอ(วรุฒ) รายการจานดารา เมนูซูชิ การจัดวางอย่างน่ารับประทาน ราเมงรสชาดิใหม่ๆ เทริยากิร้อนๆ คุณภาพสุดๆ เรื่องราคานั้นสมเหตุสมผล ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค รวมทั้งเรายังบริการเสริฟชาร้าน ชาเย็น เป็ปซี่ ฟรี อีกด้วย เรามีเมนูแบบเเป็นเซ็ตให้ท่านเลือกมากมายหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นข้าวหน้าไก่ย่างเทริยากิ ข้าวหน้าปลาแซลมอน ข้าวหน้าหมูทอด ข้าวหน้าปลาไหลญี่ปุ่น ข้าวหน้าปลาหมึกฯลฯ รวมทั้งอาหารว่างระหว่างรอจานหลัก เช่นไก่สไปซี่ตามแบบฉบับยะมะโตะ ไม่เหมือนใครแน่นอน รวมทั้งสลัดข้าวกล้องเพื่อสุขภาพ ทาโกยากิร้อนๆ พิซซ่าญี่ปุ่น ไคเซนสลัด ทุกเมนูล้วนเต็มไปด้วยความอร่อย ถ้าหากท่านอยากรู้ว่าความอร่อยของอาหารญี่ปุ่นเป็นอย่างไร ต้องลองชิม เราเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่รัชดาซึ่งมีร้านอาหารญี่ปุ่นไม่มากนัก ดังนั้นหากคุณอยู่ใกล้ๆ ก็ลองแวะมาชิมได้ เรามี ซูชิห่อทอง ซึ่งคุณอาจจะไม่เคยได้ลิ้มลองจากที่อื่น ข้าวปั้นอร่อยๆ ต้องมาที่นี่เท่านัน ร้านอาหารญี่ปุ่น ยะมะโตะ มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าทุกท่าน การเดินทางสะดวกเพียงท่านเดินทางมาถนนรัชดา เลี้ยวเข้ารัชดาซอย 8 (ซอยHollywood)ประมาณ 80 เมตร ร้านจะอยู่ซ้ายมือ สังเกตุทางเข้าปากซอยจะอยู่ตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าเอสพลานาด ถ้ามาไม่ถูกสามารถสอบถามเส้นทางได้ ที่หมายเลข 087-1116788 หรือ 02-2450861-2

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การดูแลสุขภาพตนเอง

การดูแลสุขภาพตนเอง
โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติเพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ
การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ
เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่
การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค
การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย
ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พริตตี้สาว ตกตึก7ชั้นดับปริศนา

พริตตี้สาว ตกตึก7ชั้นดับปริศนา

จันทร์ 23 พ.ย. 09 @ 09:46

เมื่อเวลาประมาณ 01.45 น. วันนี้ ( 23 พ.ย.) เกิดเหตุหญิงพลัดตกตึกเสียชีวิต ที่อาคารแกรนด์แมนดารินเรสซิเด้นท์ ซอยลาดพร้าว 130 สภาพศพสวมเสื้อยืด กางเกงผ้าสีดำ เบื้องต้นทราบว่าพลัดตกลงมาจากชั้น 7 เสียชีวิตอยู่หน้าตึก ในมือขวาผู้ตายยังกำผ้าขนหนู และ มือซ้ายกำกุญแจห้อง
พ.ต.ท.ดำรงค์ บุญวิไลวงศ์ สารวัตรเวร สน.ลาดพร้าว ตรวจสอบที่เกิดเหตุ ผู้เสียชีวิต ทราบชื่อ น.ส.กฤติยา โกมาร อายุ 27 ปี ที่อยู่ 99/8 ซ.หทัยราษฎร์ 33 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. ประกอบอาชีพทำธุรกิจส่วนตัวเปิดร้านล้างรถ อยู่ใน ซ.ลาดพร้าว 130 และเป็นพริตตี้ ได้พลัดตกลงมาจากระเบียงห้องพัก เลขที่ 2724 ชั้น 7 ตึก 2 อาคารแกรนด์แมนดาริน เรสซิเด้นท์
พ.ต.ท.ดำรงค์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่า ผู้ตายได้เดินตามแฟนหนุ่มออกมาจากห้องพัก และมีการยื้อยุดคล้ายมีปากเสียงกัน แต่ฝ่ายชายไม่สนใจ แล้วเดินลงลิฟท์ไป ส่วนฝ่ายหญิงได้วิ่งเข้าห้อง และต่อมาก็พบกลายเป็นศพดังกล่าว จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย และเตรียมนำตัวแฟนหนุ่มมาสอบปากคำ ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดทิ้งประเด็นว่าเป็นการพลัดตกลงมาเองหรือไม่

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เปิดประวัติ Windows 7

เปิดประวัติ Windows 7
Windows 7 ในแรกเริ่มเดิมทีมีชื่อหรือรหัสในการพัฒนาว่า แบล็คโคมบ์ (Blackcomb) ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็น เวียนนา (Vienna) โดยเจ้า Windows 7 จะถูกผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นกับ Vista ที่ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งคำว่า 7 น่าจะมาจากการเป็นวินโดว์รุ่นที่ 7 โดยเริ่มจากการนับ Windows 1.0-3.0, Windows NT คือ 3.1, Windows 95 คือ 4.0, Windows 98 คือ 4.0.1998, Windows 98 SE คือ 4.10.2222 Windows ME คือ 4.90.3000, Windows 2000 คือ 5.0, Windows XP คือ 5.1, Windows Vista คือ 6.0 และ Windows 7 คือ 7.0
แรกเริ่มแรกรัก Windows 7 Build 6956
หลังจากติดตั้งทุกอย่างเรียบร้อย (หน้าตาของส่วนการติดตั้งจะไม่ต่างจาก Vista เลย) เราจะมาดูในสิ่งใหม่ๆ ที่วินโดว์ตัวที่เจ็ดจาก Microsoft ตัวนี้มีกัน
1. Boot Screen แบบใหม่ Style Animation
เห็นหน้าตา Boot Screen ของวินโดว์มาก็หลายรุ่น แต่ไม่มีรุ่นไหนประทับใจเท่ารุ่นนี้เลย เพราะทำออกมาได้ดีมาก ซึ่งปกติหน้าตา Boot Screen ของวินโดว์ทุกรุ่นไม่เว้นแม้แต่ Vista จะใช้สีไม่เกิน 256 สี และไม่มีการทำ Animation เคลื่อนไหวใดๆ นอกจากบล็อกสีสี่เหลี่ยมวิ่งไปวิ่งมา แต่ใน Windows 7 นี้จะเป็นในลักษณะของ Animation คือเริ่มต้นจะมีเพียงข้อความว่า Starting Windows จากนั้นสักพักจะมีลูกบอลกลมๆ สี่สีสี่ลูกวิ่งเข้ามาชนกันแล้วกลายเป็นโลโก้ Windows โดยมีแสงเรืองรองรอบๆ โลโก้ ซึ่งดูเก๋ไก๋ไม่เบาทีเดียวสำหรับลูกเล่นนี้
2. UI (User interface) ที่ยังคงมีกลิ่นอายของ Vista ผสมอยู่
UI ของเจ้า Windows 7 ในรุ่น Build 6956 นี้จะถูกเปลี่ยนเป็น Aero Glass ตั้งแต่ติดตั้งเสร็จเลย และเท่าที่ลองกับเครื่อง Pentium 4 ที่มีการ์ดแสดงผลเพียง Geforce FX5200 64 MB ก็สามารถใช้ Aero Glass นี้ได้โดยไม่มีอาการหน่วงแต่อย่างใด แถมยังเร็วกว่า Vista อีกด้วย ซึ่งใครที่ใช้ Vista อยู่ประจำเมื่อเปลี่ยนมมาใช้ Windows 7 ก็คงใช้ได้อย่างสบาย เพราะไม่ต่างอะไรกันเลย
3. Taskbar แนวใหม่ ใหญ่กว่าเดิม
ในส่วนของ Taskbar ของ Windows 7 Build 6956 จะถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีชื่อว่า Super Bar โดยจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเดิม และเมื่อใช้งานจะไม่มีตัวหนังสือบอกชื่อโปรแกรมต่อท้ายไอคอนเหมือนแต่ก่อน แต่จะเหลือเพียงรูปไอคอนเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่มากยิ่งขึ้น แถมเวลาเราเปิดโปรแกรมเดียวกันซ้อนกันหนึ่งหน้าต่างขึ้นไป เจ้าไอคอนจะรวมกันเป็นหนึ่งไอคอน โดยเมื่อเรานำเมาส์ไปคลิ๊กหรือชี้บนไอคอนโปรแกรมที่เปิดซ้อนกันไว้ ไอคอนก็จะแสดงหน้าต่างที่ซ้อนกัน (Desktop Preview) ออกมาดังภาพประกอบด้านบน ซึ่งทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าเราเปิดหน้าต่างอะไรไว้บ้าง และอีกลูกเล่นหนึ่งคือเราสามารถลากโปรแกรมจากในเมนู Start ลงมาไว้ที่ Taskbar ได้ทันทีอีกด้วย

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประวัติและความสำคัญของขนมไทย

ประวัติและความสำคัญของขนมไทย
สมัยสุโขทัยขนมไทยมีที่มาคู่กับชนชาติไทย จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ คือ จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย สมัยอยุธยา เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" "ท้าวทองกีบม้า"หรือ "มารี กีมาร์" เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่นานนัก ชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทองพระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย"

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รถไฟ







รถไฟ (อังกฤษ: Train) เป็นกลุ่มของยานพาหนะที่เคลื่อนที่ไปตามรางเพื่อการขนส่งสินค้าหรือผู้โดยสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง รางส่วนใหญ่มักจะประกอบด้วยราว 2 อันขนานกัน แต่ยังหมายรวมถึงประเภทราวเดี่ยวหรือประเภทที่ใช้พลังแม่เหล็กด้วย รถไฟจะขับเคลื่อนด้วยหัวรถจักรหรือขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หลายๆตัวที่ติดอยู่ใต้ท้องรถ รถไฟสมัยใหม่จะใช้กำลังจากหัวรถจักรดีเซลหรือจากไฟฟ้าที่ส่งมาตามสายไฟที่อยู่เหนือตัวรถหรือตามรางสาม (Third Rail) เดิม รถไฟขับเคลื่อนโดยใช้หม้อต้มน้ำทำให้เกิดไอน้ำ ไอน้ำทำให้เกิดแรงดัน แรงดันจะทำการขับเคลื่อนกลไกทำให้ล้อรถไฟเคลื่อนที่ได้ การที่ใช้ฟืนเป็นแหล่งพลังงานในการต้มน้ำ และฟืนที่ทำให้เกิดเปลวไฟ ทำให้เรียกรถชนิดนี้ว่า รถจักรไอน้ำ
รถไฟแบ่งได้หลายประเภท ได้แก่
หัวรถจักร, รถดีเซลราง, รถโดยสาร และ รถสินค้า

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ดวงจันทร์สีน้ำเงิน

ดวงจันทร์สีน้ำเงิน คือดวงจันทร์เต็มดวงที่มีกำหนดเวลาเกิดไม่แน่นอน โดยส่วนใหญ่ในแต่ละปีจะมีดวงจันทร์เต็มดวง 12 ครั้ง เฉลี่ยเกิดประมาณเดือนละหนึ่งครั้ง แต่ถ้าคิดเฉพาะระยะเวลาที่เกิดดวงจันทร์เต็มดวง 12 ครั้ง (รอบ) ในหนึ่งปีของปฏิทินตามระบบสุริยคติจะมีจำนวนวันมากกว่าประมาณ 11 วัน ซึ่งเมื่อนำมาสะสมรวมกัน จะทำให้ทุกสองหรือสามปีมีดวงจันทร์เต็มดวงเพิ่มขึ้นหนึ่งครั้ง (กล่าวคือจะเกิดขึ้น 2.71722874 ปี) ดวงจันทร์เต็มดวงที่เพิ่มขึ้นมานี้เรียกว่า “ดวงจันทร์สีน้ำเงิน" แต่เนื่องจากมีการนิยามความหมายของดวงจันทร์ “ที่เพิ่มขึ้นมานี้" ต่างกัน จึงทำให้การกำหนดวันที่เกิดดวงจันทร์นี้ต่างกัน โดยส่วนใหญ่ดวงจันทร์สีน้ำเงินหมายถึงดวงจันทร์เต็มดวงที่เกิดครั้งที่สองของเดือน

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

ภัยจากอินเทอร์เน็ต

ภัยจากอินเทอร์เน็ต
1.ภัยจากการแชทChat คือการพุดคุยกันทางอินเตอร์เนต เราจะเห็นได้ว่าภัยจากอินเตอร์เนตที่เราพบง่ายที่สุด และบ่อยสุดเห็นในข่าวทีวีอยู่เรื่อยๆคือการแชทพูดคุยกันทางเนต ซึ่งอันตรายพอๆไปเดินเล่นสวนเลี้ยงผึ้งเลยก็ว่าได้ เพราะความปลอดภัยนั้นโอกาส50-50 ที่จะเจอคนโรคจิตหรือพวกคิดมิดีมิร้าย โดยเฉพาะผู้หญิง มีโอกาสโดนหลอกมากที่สุด ส่วนมากโปรแกรมแชทจะพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆโดยผู้ผลิตหลายรายที่คิดค้นขึ้น จากพิมพ์ข้อความหากัน พัฒนาขึ้นมาโดยเห็นหน้ากัน พุดคุยกันผ่านไมค์ ตอนนี้หยุดแค่นี้ ในอนาคตคงเห็นหน้าชัดขึ้นความไวในการรับส่งเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตามที่ผมได้ศึกษาและพอรู้วงในในเรื่องพวกนี้อีกทั้งได้สัมผัสโดยตรงก็รู้ว่า คนพวกนี้ที่เล่นแชท 1.ไม่ค่อยมีเพื่อน 2.มีปมด้อย 3.อยากหาแฟน 4.เพ้อฝันว่าอาจเจอเรื่องดีๆในเนต 5.โรคจิต 6.แสวงหาผลประโยชน์จากคนที่ไม่รู้ 7.หาความรุ้โดยไม่อยากเสียเงิน 8.เล่นๆไปงั้นแหละเพื่อนบอกให้ลอง ที่กล่าวมานั้นเป็นการยกตัวอย่าง อันตรายของมันมีอยู่ว่า ถ้าให้ความสนิทสนมกับคนที่คุยด้วยโดยที่ไม่เคยเจอไม่เคยพบกันมาก่อน พุดง่ายๆคือไม่รู้ว่าเป็นใครมาก่อนนั้น ถ้าเค้าคิดไม่ดีกับเราก็เข้าทางเค้าทันที เค้าจะจูงเราไปไหนก็ได้ เพราะความเกรงใจเป็นหลัก ความเกรงใจในอินเตอร์เนตนั้นอันตรายมาก เพราะจะทำให้เราโน้มเอียงและหลงไหลได้ วิธีแก้ง่ายๆในการแชทคุยกันผ่านเนต ต้องตัดความเกรงใจออก ถ้าคุณตัดออกได้ก็จะไม่โดนหลอกง่ายๆ
2.ภัยจากเกมส์ออนไลน์ เกมส์ในสมัยก่อนต่างจากในปัจจุบัน คือ มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการเอาชนะ ทำแบบน่ารักๆ ลับสมองลองปัญญา เล่นได้ทุกเพศทุกวัย เช่น มาริโอ แพคแมน เกมส์แนวๆอวกาศ แข่งรถ และอื่นๆ ในช่วงยุคปี1980-1990นั้นเกมส์ต่างๆในเครื่อง คอนโซลออกมาแข่งกันทั้ง นินเทนโด้ เซก้า และอื่นๆ เนนเทนโด้นั้นผูกขาดตลาดเกมส์มาเป็นเวลานานเป็น10กว่าปี แต่มาโดนยุคปฎิวัติคือยุคดิจิตอลเข้าแทนที่โดยเครื่องเกมส์ของโซนี่ เพลย์สเตชั่น1 จากสีสันที่สวยงาม ภาพ3มิติ ทำให้นินเทนโด้แทบจะเอาตัวไม่รอด ส่วนเซก้านั้น เจ๊งไปตามระเบียบ โซนี่ได้ผลิตเกมส์มากมายอีกทั้งได้ค่ายเกมส์ดังๆจากญี่ปุ่นมากมายป้อนเกมส์ให้ทั้งแนวแอคชั่น แนวรถแข่ง แนวกีฬา วางแผน อื่นๆ ทำให้เกมส์คอลโซน หรือเกมส์ชนิดเครื่องเล่นที่เล่นกับบ้าน ฮิตมากเข้าไปอีก จนกระทั่งคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในบ้านเรา อีกทั้งราคาคอมพิวเตอร์ถูกลงมาก เราจะสังเกตุได้ว่า เมื่อ10-20ปีที่แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ราคาสูงมากๆ มีแต่คนรวยๆเท่านั้นที่ซื้อได้ แต่ปัจจุบัน ใครก็ซื้อหาได้ เพราะเทคโนโลยีถูกลงมาก กระแสมาแรงของคอมพิวเตอร์มาแรง อีกทั้งเกมสืคอมพิวเตอร์ที่มีกราฟฟิกสวยกว่า ละเอียดกว่า แวกแนวกว่า มาแทนที่ โดยเฉพาะ เกมแนววางแผน เช่น คอมมาน ซิมซิตี้ ซิมชีวิต วอร์คราฟ สตาร์คราฟ อื่นๆ อันนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่ง แต่ที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญของวงการเกมส์คอมพิวเตอร์ทั่วโลกนั้นไม่ไช่เกมส์วางแผนการรบ หรือ เกมส์วางแผนอื่นๆ แต่กลับเป็นเกมส์ที่เน้นความรุนแรง ที่ไม่มีค่ายเกมส์ไหนๆทำมาก่อน ต้องยกให้ เกมส์ Half-Life ฮาฟไลฟ์ และเคาร์เตอร์สไตร์ ที่เป็นเกมส์แนว มุมมองบุคคลที่1 คือเห็นแต่มือกับปืน เหมือนกับเราถือปืนเอง ทำให้คนทั้งโลกต้องหันมาเล่นเกมส์นี้ เกมส์นี้เน้นความรุนแรง ความแม่นยำ ความเก่งกาจ ไหวหริบ การเอาตัวรอด การซุ่มโจมตี สารพัดวิธีที่จะใช้ ทำให้สาวกเกมส์เคาร์เตอร์มีอยู่ทั่วโลก เพราะเป็นเกมส์แนวใหมไม่มีใครเหมือน ทำให้เกมส์คอนโซนของโซนี่ต้องกระอักกระแสความมาแรงของคอมพิวเตอร์ ร้านอินเตอร์เนต ผุดขึ้นราวดอกเห็ด ร้านไหนไม่มีเคาร์เตอร์ คนไม่เข้า ทำให้กระแสของเกมส์คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในวงการเกมส์มากยิ่งขึ้น ต่อมาเกมส์เคาร์เตอร์หรือเกมส์คอมอื่นๆ ชักจะเจื่อนๆ ไม่มีคนเล่นเกมส์สักเท่าไหร่ ผู้พัฒนาได้นำเกมส์แนวใหม่ที่เรียกว่าเกมส์ออนไลน์ จากประเทศเกาหลีมา ซึ่งเกาหลีใต้นั้นไม่มีในประวัติศาสตร์ของการทำเกมส์แนวนี้เลย เกมส์ออนไลน์ที่ว่าได้ถอดแบบมาจากเกมส์ญี่ปุ่นที่ชื่อ ไฟนอลแฟนตาซี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเกมส์ภาษา หรือ เกมส์ที่กึ่งๆวางแผนนั่นเอง เกาหลีได้นำเกมส์ออนไลน์มาตีตลาดในเมืองไทย ทำให้เด็กไทยบ้าหนักเข้าไปอีก เสียทั้งชั่วโมงเนต ยังเสียค่าเล่นเกมส์ออนไลน์อีก เลยเป็นยุคเข้าสู่เกมส์ออนไลน์ ถามว่าเกมส์ออนไลน์นั้นมีมานานรึยัง ตอบได้เลยว่า มีมานานแล้วแต่ไม่เป็นที่นิยม เพราะเป็นเกมส์ทางฝั่งอเมริกา ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงและยุ่งยาก คนไทยไม่นิยม เกมส์ญี่ปุ่นและฝรั่งเริ่มสู่จุดอิ่มตัว มีแต่นักเล่นเกมส์มือเก่าๆที่บริโภค นักเล่นเกมส์มือใหม่ๆ หันมาเล่นเฉพาะเกมส์ออนไลน์ ทำให้เป็นปัญหาของสังคมในปัจจุบันที่เด็กหันมาเล่นเกมส์ออนไลน์ จุดสำคัญของเกมส์ออนไลน์นั้นแทบจะไม่มีเลย ไม่มีเคลียร์ พูดง่ายๆคือเล่นไม่มีวันจบ ซึ่งตามความคิดผม มันน่าเบื่อมากๆกับเกมส์แบบนี้ เพราะตัวนักเล่นเกมส์เก่าๆจะเน้นที่การเคีลยร์เกมส์นั้นๆเป็นหลัก สร้างความภูมิใจให้ตัวเอง แต่สมัยนี้เกมส์ออนไลน์กลับไม่มีจุดมุ่งหมาย หวังแต่เพียง ใครมีอาวุธ ไอเท็มดีๆ ก็จะถูกยอมรับจากเพื่อนฝูง พุดง่ายๆ แต่งตัวดี เลเวลสูงๆ ไม่มีใครกล้าแหยม ข้อเสียคือ เล่นแล้วติด อยากได้พลังมากๆ เลเวลมากๆ ของใช้มากๆ ทำให้ติดอยากเอาชนะคนอื่น และการที่ได้ข่มคนอื่นอยู่ในทีนั้นเป็นสันดานของมนุษย์อยู่แล้ว ผู้ผลิตเกมสืแนวออนไลน์จึงจับจุดนี้มาเป็นจุดแข็ง สร้างจุดอ่อนให้ผู้เล่น แทนที่ผู้ที่ถูกกระทำจะเป็นตัวละครคอมพิวเตอร์ กลับเป็บตัวละครที่มนุษย์บังคับเอง สร้างความภูมิใจให้กับตัวเองที่ชนะคนอื่นๆ ยกตัวอย่างเกมส์ยิงกันแนวบุคคลที่1 สเปเซียลฟอก เกมส์นี้เคยๆมองๆผ่านๆตา เลียนแบบเคาร์เตอร์สไตร์ แต่เป็นเกมส์ออนไลน์ เวลาเราฆ่าได้มากๆ ยศเราจะเพิ่ม ทำให้มือใหม่ๆที่เข้ามาเล่น เห็นยศ เลเวลเยอะๆกลัว หรือ เป็นการข่มกันในทีว่า ยศสูงกว่าเก่งกว่า คุยข่มกันได้ นี่เป็นอีกจุด ที่ผู้ผลิตยกมาเป็นจุดแข็งในการขายเกมส์ การค้าขายของในเกมส์ออนไลน์ พบบ่อยมากๆ อยากได้ของชิ้นนี้ทำเช่นไร ซื้อมาเลยไม่ต้องเ่ล่น มีทั้งพวกเล่นหาของมาขาย ของในเกมส์นะครับ ไม่ไช่ของจากโลกความจริง เช่น เสื้อเกราะชิ้นนี้ แพง หายาก ใส่แล้วกันเวทย์ได้เยอะ ก็ซื้อกัน ใช้เงินจริงๆ ก็เกิดการนัดซื้อขายกันขึ้น เบี้ยวกันบ้าง หลอกกันบ้าง หลอกไปข่มขืนบ้าง เป็นต้น มีออกอยู่เยอะ ซึ่งถ้ามองในแง่ผู้ใหญ่แล้ว มันงี่เง่ามาก แต่คุณต้องเข้าใจสภาพคนติดเกมส์ชนิดครอบงำ หายใจเข้าเป็นเกมส์ ออกเป็นเกมส์ด้วยนะครับ เหมือนกับยาเสพติดดีๆนี่เอง วิธีแก้ ยาก ต้องให้คนเล่นรู้จักข่มจิตใจตนเองให้ได้ หรือถ้าไม่ได้ เล่นบ่อยๆก็เบื่อเอง หรืออีกวิธีหนึ่งคือ ยิ่งห้ามยิ่งยุ แต่ถ้าไม่ห้ามเลย ลุกหลานท่านอาจเป็นพวกอินเตอร์เนตเต็มตัว คำพูดคำจานั้นไม่เหมือนชาวบ้านพุดกัน แต่อีกวิธีหนึ่ง คือ ลงทุนซื้อเกมส์มาให้เล่นที่บ้าน แล้วกำหนดเวลาเล่น เป็นเวลา ถ้าให้วิธีนี้ได้ผลต้องขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกของผู้เล่นด้วยนะครับ 3.ภัยจากการท่องเวป อินเตอร์เนตมีสิ่งยั่วยุมากมาย เวปโป๊ เวปขายของ เวปบอร์ด กระดานถาม-ตอบ ดาวโหลด อีเมล์ อื่นๆมากมาย ภัยจากเวปอันดับ1คือการโฆษณาหลอกลวงขายสินค้า สั่งซื้อไปแล้วไม่ได้สินค้า 2.เวปดาวโหลด บางทีโหลดมาแล้วกลับเป็นไวรัส หรือ แค่คลิ๊กเข้าเวปก็โดนแล้ว 3. เวปโป๊ อนาจาร ส่วนมากเวปพวกนี้จะเน้นขายของ จำพวก วีซีดี ของพวกแนวๆผู้ใหญ่ ยาบำรุงกำลัง และสิ่งผิดกฏหมายต่างๆ 4.เวปบอร์ด กระดานถามตอบ อันนี้ภัยน้อยก็มี ไปถึงมาก ถ้าโหลดโปรแกรม จากคนโพสทิ้งไว้มั่วซั่วก็อาจโดนไวรัสได้ง่ายๆ มีการโพสข้อความชวนเชื่อ โกหกบ้าง จริงบ้าง ตามลำดับแล้วแต่จะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย 4.อีเมล์ อันนี้ภัยจากอีเมล์ก็มีไวรัส ภาพโป๊ วิธีป้องกันง่ายๆ ถ้ามีเมล์เข้ามาที่เราไม่รู้จัก ก็ให้ลบทิ้งได้เลย 4.แฮกเกอร์(Hacker) อันนี้ยากหน่อยทคนธรรมดาอย่าเราๆี่จะโดนแฮกเว้นแต่ท่านทำธุรกิจหลายล้าน หรือมีข้อมูลทางราชการที่สำคัญ ข้อมูลการเงิน แฮกเกอร์เป็นบุคคลที่มีวิชาความรู้มากในคอมพิวเตอร์ พูดง่ายๆคือวิศวคอมพิวเตอร์นั่นเอง คนที่ดีก็ใช้วิชาในทางที่ดี คนชั่วก็ใช้วิชาในทางโจรๆ เช่น แฮกเงินในธนาคาร บัตรเครดิต ล้วงข้อมูลความลับ ต่างๆ อันนี้คือแฮกเกอร์ที่ทำงานแบบหาเงินในทางผิดกฏหมายนะครับ ส่วนพวกแอกเกอร์ที่ชอบป่วนชาวบ้าน ก็จะทำลายเวปไซค์ ป่วนระบบอินเตอร์เนต ทำลายข้อมูลทางราชการ อื่นๆสารพัด แล้วแต่เค้าจะทำ อีกพวก เก่งแต่ทำตัวดี ช่วยเหลือผู้อื่น หรือทางราชการ เคยได้ยินมาว่า สมัยก่อน ถ้าจับแอกเกอร์ได้ก้จะเอาไปช่วยงานราชการคือ คอยไล่จับพวกแอกเกอร์ด้วยกันเองคือ ใช้โจรจับโจรนั่นแหละครับ ส่วนจริงหรือไม่ ถามกันเอาเอง

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ
สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้
1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวังผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินได้ดื
2. ผลไม้กับมื้ออาหารก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
3. อย่าปล่อยให้หิวควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากันถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
5. นาฬิกาชีวภาพหลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
6. ความเครียดทำลายผิว ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติกเพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรังหลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่
9. เท้าและข้อเท้าบวมถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีนเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตรายใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
12. แดดอ่อนตอนเช้าแสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
13. เบาหวานอย่าทานไข่ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
14. อยากผอมต้องน้ำเย็นการดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่นถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศสำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหารสำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ
18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกมถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

: อาหารเสริมเพื่อผิวหน้าไร้สิว และรอยสิว ทำให้หน้าใสกิ๊ก สิวอุดตัน

อาหารเสริมเพื่อผิวหน้าไร้สิว และรอยสิว ทำให้หน้าใสกิ๊ก สิวอุดตัน
สุดยอดสารอาหารบำรุงผิว เพื่อผิวที่เปล่งปลั่งดั่งประกายทองแล้วใครๆ ก็ทายอายุคุณไม่ถูกผิวเป็นปราการด่านแรก สำหรับความงามที่สายตาแลเห็น ผิวที่เนียน เรียบ ปราศจาก ฝ้า กระ รอยด่างดำ และ ริ้วรอยเหี่ยวย่น แลดูอ่อนเยาว์ เป็นที่พึงปารถนาสำหรับคนทุกคน NutriPharma® นวัตกรรมอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม ขอแนะนำสูตรอาหารบำรุงผิว ที่บำรุงผิวพรรณให้สวยจากภายใน ใสสู่ภายนอก เพื่อความเปล่งปลั่งจากเซลล์ผิวที่อ่อนเยาว์ ลดเลือนริ้วรอย จนคุณและใครๆ รู้สึกได้ สารออกฤทธิ์ OPC ในสารสกัดจากเมล็ดองุ่น และ เปลือกสน มีที่ใช้ในวงการแพทย์ ประเทศฝรั่งเศส อย่างกว้างขวาง มาตั้งแต่ปี 1951 เนื่องจากพบว่าทำให้อาการของต้อกระจกดีขึ้น หลอดเลือดแข็งแรง และ ยืดหยุ่นมากขึ้น และ ใช้รักษาอาการหลอดเลือดดำผิดปกติต่างๆ เช่น ริดสีดวงทวาร และ เส้นเลือดขอดแต่ผลที่ทำให้ผิวสวยของสาร OPC กลับโดดเด่น เนื่องจากมีผลการวิจัยล่าสุดในปี 2002 (Phytother Res. 2002 Sep;16(6) 567-71) ที่ศูนย์วิจัยของ Xiyuan Hospital ประเทศจีน ในการทำการทดลองกับผู้ที่เป็นฝ้า 30 คน ได้รับสาร OPC วันละ 75 มก. เป็นเวลา 30 วัน พบว่า 80% ของผู้เข้ารับการทดลอง มีขนาดของฝ้าที่เล็กลง และ ฝ้าจางลงด้วย มีรายงานการวิจัยอีกมากมายที่สนับสนุนผลงานวิจัยนี้ ทำให้มีการนำสาร OPC มาใช้ร่วมในการรักษาผู้ที่เป็นฝ้ามากขึ้น ด้วยขนาดรับประทานต่างๆกัน ตั้งแต่ 75 – 100 มก./วันOPC ทำอะไรได้บ้าง นอกจากรักษาฝ้า
• ป้องกันการเสื่อมสลายของเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ในหลากหลายกลไก ตั้งแต่ทำให้เส้นใยคอลลาเจนแข็งแรงขึ้น ปกป้องคอลลาเจนจากอาการอักเสบ และ ติดเชื้อ
• มีรายงานถึงประสิทธิภาพของสาร OPC ในการรักษาโรคเรื้อนกวาง
• ทำให้ขนาดของฝ้าเล็กลง และ ฝ้าจางลง
• เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิว และ นำมาใช้เป็นอาหารเสริมชะลอความชรา และ ป้องกันโรคที่เกิดจากความเสื่อมทุกชนิด
• ลดอาการอักเสบของเนื้อเยื่อ ทำให้มีการใช้ OPC ร่วมในสูตรของสารอาหารรักษาสิว เพื่อลดอาการสิวอักเสบ
• ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง และ ยืดหยุ่นมากขึ้น ใช้รับประทานเพื่อป้องกันเส้นเลือดแตก ทำให้อาการต้อกระจก ริดสีดวง และ เส้นเลือดขอดดีขึ้น ใช้ในคนไข้เบาหวาน เพื่อป้องกันจอตาเสื่อมในเบาหวาน
• ปกป้องหัวใจและหลอดเลือด ปรับสมดุลโคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันหลอดเลือดหัวใจแข็ง ป้องกันเส้นเลือดหัวใจอุดตัน
• ช่วยสมรรถนะทางเพศในชาย ทำให้อสุจิมีชีวิตนานขึ้น และ เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น ช่วยเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย โดยการเพิ่มปริมาณ Nitric Oxide ในหลอดเลือดแดง (กลไกเดียวกับยากระตุ้นสมรรถนะทางเพศ) ด้วยขนาดรับประทานประมาณ 200 มก./วัน
• ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน ในขนาดรับประทานประมาณ 60 มก./วัน
• ผลดีต่อสมอง ป้องกันหลอดเลือดฝอยในสมองแตก สาเหตุหลักของการเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ ผลการเพิ่ม Nitric Oxide ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ และ ความทรงจำดีขึ้น ทำให้การไหลเวียนเลือดในสมองดีขึ้น และ สารสื่อประสาทมีอายุนานขึ้น จึงนำมาใช้ในการรักษากลุ่มอาการเด็กสมาธิสั้นNutriPharma® ขอแนะนำสูตรสารอาหารเพื่อผิวสวย ที่คงคุณประโยชน์สำคัญของสาร OPC และ มีคุณค่าบำรุงจากสารอื่นๆ ประกอบด้วย
• สาร OPC จากเมล็ดองุ่น และ เปลือกสน ในปริมาณถึง 60 มก. และ สารไลโคปีนจากมะเขือเทศถึง 100 มก. ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสาร OPC และทำให้ผิวทนแดดมากขึ้น
• โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง คุณค่าบำรุงของสารไฟโตเอสโตรเจนจากพืช บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง มีน้ำนวล ดุจผิวพรรณในวัยสาวของสตรี
• สารสกัดจากชาเขียว มีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ และ ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานทางการแพทย์ถึงผลการชะลอความชรา การลดริ้วรอย และ การป้องกันมะเร็งผิวหนัง
• น้ำมันจมูกข้าวสาลี มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการเกิดใหม่ของเซลล์ผิว ชะลอความชรา ช่วยในโรคเรื้อนกวาง และ ผิวหนังอักเสบ มีวิตามินอีสูง
• แร่ธาตุสังกะสี ทองแดง แมงกานีส โดยที่มีแร่ธาตุสังกะสีถึง 75 มก./แคปซูล ซึ่งขนาดแนะนำในการรักษาสิวในวงการแพทย์มีเพียง 50 กรัม ต่อ วัน แร่ธาตุทั้งสามนี้ เป็นวัตถุดิบสำคัญในการสังเคราะห์เอ็นไซม์ SOD สารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงภายในเซล เป็นการชะลอความชราของผิวในระดับเซล
• โคเอนไซม์ คิวเทน 10 มก./แคปซูล ให้พลังงานแก่เซลทุกเซล ต้านอนุมูลอิสระ และ ช่วยในการผลัดเซลผิวใหม่
• วิตามินซี และ วิตามินอี บำรุงผิวต้านอนุมูลอิสระ และ ช่วยให้ผิวขาวขึ้น และ ใสขึ้น
• วิตามินบี 2 ช่วยในการซ่อมแซมสภาพผิวที่เสื่อม หรือ ถูกทำลายโดยแสงแดด กระตุ้นการเกิดใหม่ของเซลล์ผิว บรรเทาความเครียดของผิวหนังจากการโดนแดด และ สภาพแวดล้อมเป็นพิษ วิธีการรับประทาน เนื่องจากสาร OPC มีคุณสมบัติเฉพาะในการจับตัวกับคอลลาเจนโปรตีนได้ดี จึงควรรับประทานคนละช่วงเวลากับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนผสม เพื่อให้การดูดซึม และ การกระจายตัวของสาร OPC มีประสิทธิภาพสูงสุด ได้ผลดีที่สุดหากรับประทานขณะท้องว่างสารอาหารบำรุงผิว เพื่อผิวที่เปล่งปลั่งดั่งประทายทอง

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ความงามในถุงชา

ความงามในถุงชา














ถ้าคุณชอบอ่านส่วนประกอบบนฉลากผลิตภัณฑ์ อาจสังเกตเห็นสารสกัดจากชาปรากฏในส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์หลากหลายยี่ห้อ และคงสงสัยว่าทำไมต้องมีส่วนผสมของชา ชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (อนุมูลอิสระเป็นสาเหตุหลักของเซลล์เสื่อมสภาพก่อนวัย) ชาเขียวโดดเด่นด้านสารต้านอนุมูลอิสระยิ่งกว่าชาจีน จากการศึกษาพบว่า ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ภายใน 30 นาทีหลังจากดื่มชาจีนอุ่นๆ และสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จะยิ่งคงประสิทธิภาพไปอีก 50 นาทีก่อนจะเข้าสู่ระดับปกติ จึงเริ่มมีการแนะนำให้ดื่มชาเพื่อหวังผลด้านชะลอภาวะแก่ก่อนวัยของเซลล์ในร่างกาย และใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงเพื่อหวังผลด้านสลายอนุมูลอิสระ คุณเองก็สามารถนำชามาช่วยดูแลผิว ริมฝีปากลอก ใช้ถุงชาที่ยังอุ่นจางๆ จากการแช่น้ำร้อน เช็ดริมฝีปากที่ลอกเป็นขุย ทาลิปสติกแล้วไม่เรียบเนียน ผิวที่เป็นขุยจะหลุดออกอย่างง่ายดาย กำจัดผิวหมอง สูตรนี้คุณอรอนงค์ ปัญญาวงศ์ เปิดเผยในงานเปิดตัวสบู่สมุนไพร “โพรเทคส์ เฮอร์เปิ้ล” ที่เธอนำมาใช้พอกผิวกายอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ส่วนผสม ชาเขียว 1 ช้อนชา, กลีบดอกดาวเรือง 1 ช้อนชา, ขมิ้นชัน ½ ช้อนชา, ตะไคร้ ½ ช้อนชา นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำมันงา 2 ช้อนชา ทาพอกผิวทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีแล้ว ค่อยขัดออกเบาๆ ก่อนอาบน้ำ แช่เท้าในน้ำชา วันไหนรู้สึกเดินจนล้าไปทั้งฝ่าเท้า ตักชาเขียว 4 ช้อนโต๊ะหรือจะโยนชาเขียว 5 ซองชงก็ได้ลงในน้ำร้อน ทิ้งไว้ให้ชาละลาย 10 นาที ก่อนแช่เท้าลงในน้ำที่กำลังอุ่น 15 นาที เป็นช่วงที่รู้สึกสบายที่สุด ชาจะทำหน้าที่คล้ายโลชั่นกระชับและทำความสะอาดเท้าพร้อมทั้งระงับกลิ่น (บางคนนอนแช่น้ำชาเพื่อระงับกลิ่นตัว) จากนั้นโยนใบสะระแหน่สุดๆ ลงในน้ำที่แช่เท้า ขยี้ใบสะระแหน่ตามนิ้วเท้า ยกเท้าขึ้นจากน้ำแล้วห่อด้วยผ้าเช็ดตัวอุ่นๆ (ที่คุณใช้ไดร์ร้อนเป่าไว้) คืนนั้นคุณจะหลักสบายปลอบผิวแดดเผา ผิวตากแดดนานๆ รู้สึกผิวร้อนผ่าว อย่าเพิ่งลงครีมบำรุงผิวเนื้อข้นๆ ขณะนั้นผิวต้องการระบายความร้อนที่ได้รับออก ครีมบำรุงจะไปปิดผิวไม่ให้ความร้อนในเซลล์ระบายออก ไม่ต่างอะไรกับอบผิวในเตาอบ ผสมข้าวโอ๊ตบด 1 ถ้วยลงในน้ำชาเขียวร้อนๆ 1 ถ้วย กับแตงกวาสับละเอียด (ส่วนผสมจะช่วยระงับอาการแดงและอักเสบ) เติมน้ำผึ้งลง 4 ช้อนโต๊ะเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นแช่ส่วนผสมดังกล่าวในตู้เย็น 1 ชั่วโมง ก่อนนำมาทาผิวที่ถูกแดดเผา คลุมด้วยผ้าชุบน้ำเย็นๆ 10 นาทีแล้วล้างออก

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

โลกร้อน

ปรากฏการณ์โลกร้อน


ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา นับถึง พ.ศ. 2548 อากาศใกล้ผิวดินทั่วโลกโดยเฉลี่ยมีค่าสูงขึ้น 0.74 ± 0.18 องศาเซลเซียส ซึ่งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ของสหประชาชาติได้สรุปไว้ว่า “จากการสังเกตการณ์การเพิ่มอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ประมาณตั้งแต่ พ.ศ. 2490) ค่อนข้างแน่ชัดว่าเกิดจากการเพิ่มความเข้มของแก๊สเรือนกระจกที่เกิดขึ้นโดยกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นผลในรูปของปรากฏการณ์เรือนกระจก ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่าง เช่น ความผันแปรของการแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์และการระเบิดของภูเขาไฟ อาจส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อการเพิ่มอุณหภูมิในช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมจนถึง พ.ศ. 2490 และมีผลเพียงเล็กน้อยต่อการลดอุณหภูมิหลังจากปี 2490 เป็นต้นมาข้อสรุปพื้นฐานดังกล่าวนี้ได้รับการรับรองโดยสมาคมและสถาบันการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ไม่น้อยกว่า 30 แห่ง รวมทั้งราชสมาคมทางวิทยาศาสตร์ระดับชาติที่สำคัญของประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ แม้นักวิทยาศาสตร์บางคนจะมีความเห็นโต้แย้งกับข้อสรุปของ IPCC อยู่บ้าง แต่เสียงส่วนใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลกโดยตรงเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้
แบบจำลองการคาดคะเนภูมิอากาศที่สรุปโดย IPCC บ่งชี้ว่าอุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยที่ผิวโลกจะเพิ่มขึ้น 1.1 ถึง 6.4 องศาเซลเซียส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 21 (พ.ศ. 2544–2643) [1] ค่าตัวเลขดังกล่าวได้มาจากการจำลองสถานการณ์แบบต่างๆ ของการแผ่ขยายแก๊สเรือนกระจกในอนาคต รวมถึงการจำลองค่าความไวภูมิอากาศอีกหลากหลายรูปแบบ แม้การศึกษาเกือบทั้งหมดจะมุ่งไปที่ช่วงเวลาถึงเพียงปี พ.ศ. 2643 แต่ความร้อนจะยังคงเพิ่มขึ้นและระดับน้ำทะเลก็จะสูงขึ้นต่อเนื่องไปอีกหลายสหัสวรรษ แม้ว่าระดับของแก๊สเรือนกระจกจะเข้าสู่ภาวะเสถียรแล้วก็ตาม การที่อุณหภูมิและระดับน้ำทะเลเข้าสู่สภาวะดุลยภาพได้ช้าเป็นเหตุมาจากความจุความร้อนของน้ำในมหาสมุทรซึ่งมีค่าสูงมาก
การที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคาดว่าทำให้เกิดภาวะลมฟ้าอากาศสุดโต่ง (extreme weather) ที่รุนแรงมากขึ้น ปริมาณและรูปแบบการเกิดหยาดน้ำฟ้าจะเปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบอื่นๆ ของปรากฏการณ์โลกร้อนได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของผลิตผลทางเกษตร การเคลื่อนถอยของธารน้ำแข็ง การสูญพันธุ์พืช-สัตว์ต่างๆ รวมทั้งการกลายพันธุ์และแพร่ขยายโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ได้แก่ปริมาณของความร้อนที่คาดว่าจะเพิ่มในอนาคต ผลของความร้อนที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบอื่นๆ ที่จะเกิดกับแต่ละภูมิภาคบนโลกว่าจะแตกต่างกันอย่างไร รัฐบาลของประเทศต่างๆ แทบทุกประเทศได้ลงนามและให้
สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต ซึ่งมุ่งประเด็นไปที่การลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก แต่ยังคงมีการโต้เถียงกันทางการเมืองและการโต้วาทีสาธารณะไปทั่วทั้งโลกเกี่ยวกับมาตรการว่าควรเป็นอย่างไร จึงจะลดหรือย้อนกลับความร้อนที่เพิ่มขึ้นของโลกในอนาคต หรือจะปรับตัวกันอย่างไรต่อผลกระทบของปรากฏการณ์โลกร้อนที่คาดว่าจะต้องเกิดขึ้น

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552



เวียนนา

















กรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรียเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า แสนโรแมนติกเมืองหนึ่งของโลก เมื่อไหร่ได้ไปเยือนต้องไม่พลาดชมพระราชวังเชินบรุนน์ เป็นสถานที่สำคัญทาง ประวัติศาสตร์ หรือไปเที่ยวสนามเด็กเล่น "แพรเท่อร์" อันมีชื่อเสียงเพราะมีชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ ใหญ่ที่สุดของโลก หรือชมจตุรัสวีรบุรุษเบลวีเดียร์ที่งดงาม นั่งสามล้อทัวร์ทั่ว กรุงเวียนนา นั่งเรือล่องแม่น้ำดานูบประเทศออสเตรียยังได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งดนตรีคลาสสิก อมตะของโลก ซึ่งนักแต่งเพลงคลาสสิกไม่ว่าจะเป็น บีโธเฟ่น โมสาร์ท, ชูเบอร์ก, บราห์ม หรือ โยฮัน สเตราส์

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เมืองโบราณ/ The Ancient City





*******เมืองโบราณ/ The Ancient City*******







เมืองโบราณ เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุด ในโลก มีพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ เริ่มก่อสร้างเมื่อปลายปี 2506 ตั้งอยู่ใน เขต ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 33.5 ถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ห่างจากตัวจังหวัด 8 กิโลเมตร เป็นศูนย์รวมปูชนียสถานที่สำคัญ ๆ ของแต่ละจังหวัด เช่น เขาพระวิหาร ปราสาทหินพนมรุ้ง วัด มหาธาตุสุโขทัยพระพุทธบาทสระบุรี พระธาตุเมืองนคร พระธาตุไชยา ฯลฯ โดยสร้างให้มีขนาดเล็กลงบาง แห่งเท่าแบบจริง การสร้างฝีมือปราณีต นอกจากนั้น ยังเป็นแหล่งรวบรวม ศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้าน ที่นับ วันจะสูญหายไปจากสังคมยุคใหม่ ผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของประเทศไทย จะศึกษาได้จากเมือง โบราณแห่งนี้ การเดินทาง หากไปโดยรถส่วนตัว ใช้ถนนสายบางนา-สมุทรปราการเมื่อถึงหอนาฬิกาให้เลี้ยว ซ้ายไปอีกประ มาณ 8 กิโลเมตร หากไป โดยรถประจำทาง ขึ้นรถ บขส.ชลบุรี (สายเก่า) ที่สถานีขนส่งเอกมัย หรือ ขึ้นรถเมล ์ ขสมก.สาย ปอ.8,ปอ.11 สาย 25,102,119 ลงที่ปากน้ำ แล้วต่อรถเมล์เล็กท้องถิ่นสาย 36 อย่าง ไรก็ตาม พื้นที่เมืองโบราณมีอาณาเขตกว้างขวางมาก หากนำรถส่วนตัวไปเที่ยวชมจะได้รับความสะดวก สบายมากกว่า



เที่ยวทั่วไทย ใน 1 วัน
อย่างที่รู้ๆแหละครับว่าเมืองไทยกว้างใหญ่ เที่ยวเท่าไหร่ก็ไม่หมดซักที แต่รับรองครับว่ามาเที่ยวที่เมืองโบราณวันเดียว คุณก็เหมือนเที่ยวได้ทั่วทั้งประเทศครับ เพราะคุณจะเห็นถึงวัฒนธรรมและสิ่งปลูกสร้างต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญประจำจังหวัด วัดวาอารามต่างๆ หรือแม้แต่ลักษณะการปลูกสร้างเรือนรวมไปถึงวิถีชีวิตของคนไทยในแต่ละภาค เรียกได้ว่ามีรวบรวมเอาไว้ให้คุณได้ชมเกือบทุกภาค ทุกจังหวัดก็ว่าได้ล่ะครับ ตามเรามาดูกันเลยครับ




เมื่อขับรถมาถึงบริเวณด้านหน้าของเมืองโบราณ ถ้าคุณต้องการนำรถขับเข้าไปชมภายในเอง คุณไม่จำเป็นต้องหาที่จอดรถแล้วลงมาซื้อบัตรเข้าชมเองนะครับ ขับไปที่ซื้อบัตรเลยครับ โดยเราไม่ต้องลงจากรถเลย จอดต่อคิวกันไป พอถึงจะมีน้องๆพนักงานมาคอยต้อนรับและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซื้อบัตรเข้าชมพร้อมทั้งคอยบริการซื้อให้เสร็จสรรพ ซึ่งโดยปกติค่าเข้าชมสำหรับคนไทย ผู้ใหญ่จะอยู่ที่คนละ 100 บาท บวกค่านำรถเข้าไปภายในด้วย คันละ 100 บาทเหมือนกัน




ส่วนถ้าคนไหนไม่ต้องการนำรถเข้าไป จะเปลี่ยนบรรยากาศเป็นขี่จักรยาน อารมณ์ชิวๆ จะได้ออกกำลังกายไปด้วย ชมวิวและสถานที่ต่างๆไปด้วย ทางเมืองโบราณก็มีบริการให้เช่าจักรยาน หรือบางคนไม่อยากขี่จักรยาน ก็มีรถกอล์ฟเป็นอีกทางเลือกหนึ่งไว้คอยให้บริการเช่นเดียวกัน ส่วนใครที่ต้องการประหยัดหน่อย ก็เลือกเข้าชมแบบที่เป็นรถราง จะเสียค่าเข้าชมเพิ่มอีกเพียงคนละ 80 บาทเท่านั้น แต่รถรางก็จะมีทั้งแบบธรรมดาและแบบที่มีไกด์ ถ้าใครต้องการทราบข้อมูลของสถานที่ต่างๆในระหว่างเข้าชม ก็เลือกขึ้นรถรางแบบที่มีไกด์คอยให้ข้อมูลก็ต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่มขึ้นอีกคนละ 100 บาท นายหมูหินเลือกที่จะนำรถเข้าไปครับ เพราะสะดวกและเป็นส่วนตัวดี อยากจะหยุดชมตรงไหน มุมไหน นานแค่ไหนก็ได้ ตามใจเราครับ พอเริ่มขับเข้ามาก็ดูตามแผ่นที่ที่ทางเมืองโบราณเตรียมไว้ให้ แต่ละแห่ง แต่ละที่ ล้วนจำลองมาได้อย่างงดงาม แม้แต่ของที่ระลึกหรือขนมต่างๆที่วางขายกัน ก็ยังเป็นของสมัยโบราณที่อาจจะหายากแล้วในสมัยนี้ ผมแนะนำเลยนะครับสำหรับคุณๆที่นิยมเป็นดาราหน้ากล้อง อย่าลืมเตรียมแบตเตอรี่สำรองเผื่อไว้ด้วย เพราะแบตฯชุดเดียวคงไม่พอแน่ๆสำหรับการถ่ายรูป มีสถานที่มากมายที่จะให้คุณได้ถ่ายพร้อมกับวิวสวยๆ และสถานที่สวยๆ อย่างจุใจเชียวล่ะครับ ส่วนการแต่งกายก็แต่งสวย หล่อ กันตามปกติล่ะครับ แต่ถ้าให้แนะนำ รองเท้าที่ใส่น่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบ หรือเป็นรองเท้าแบบไม่มีส้นจะดีที่สุด เพราะสถานที่ค่อนข้างกว้างจะได้ง่ายและสะดวกต่อการเที่ยวชม อีกอย่างนึงครับ ควรมาเที่ยวที่นี่กันตั้งแต่ตอนเช้า แดดจะได้ไม่แรง หรือไม่อย่างนั้นก็ควรเตรียมร่มหรือหมวกมาด้วยก็ดี เผื่อว่าแดดแรง จะได้มีอุปกรณ์ช่วย อ้อ! สำหรับสาวๆ อย่าลืมทาครีมกันแดดมาเผื่อด้วยก็ดีครับ ขับรถชมสถานที่ต่างๆ และถ่ายรูปมากันเกือบทั้งวัน ถ้าหิวก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะที่นี่มีอาหารและเครื่องดื่มขายตามจุดต่างๆเป็นระยะๆ มีทั้งอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเรือ ข้าวเหนียว ส้มตำ รวมไปถึงขนมหวาน ไอศครีมโบราณ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ปั่น ชา กาแฟ โอเลี้ยง ฯลฯ แล้วแต่จะเลือกอิ่มกันตามอัธยาศัย ที่สำคัญคือในบางจุดจะได้บรรยากาศของการค้าขายในสมัยก่อน คือยังเป็นตลาดน้ำ ยังพายเรือขายของต่างๆ คุณๆก็จะทานข้าวไปพร้อมกับอิ่มบรรยากาศไปด้วย เหมือนคุณได้กลับไปอยู่ในสมัยก่อนเลยล่ะครับ สำหรับใครที่มากันเป็นครอบครัว มีเด็กเล็กๆมาด้วย ก็ต้องดูแลกันนิดนะครับ เพราะอาจตกน้ำ ตกท่าได้ แต่ก็มีกิจกรรมให้ร่วมกันสนุกสนานได้ด้วยการซื้ออาหารเลี้ยงปลา อันนี้น่าจะถูกใจเด็กๆ เพราะมีปลาเยอะมาก น่าตื่นตา ตื่นใจเชียวครับ เอาล่ะครับ สำหรับใครที่มีเวลาไม่มาก เมืองโบราณจังหวัดสมุทรปราการก็เป็นอีกที่ที่คุณมาแล้วไม่น่าจะผิดหวัง เพราะมาที่นี่วันเดียว เหมือนเที่ยวทั่วเมืองไทย ผมรับรองครับ

เส้นทางไปเมืองโบราณ สมุทรปราการ1. รถยนต์ส่วนตัว : ใช้เส้นทางด่วน ปลายทางที่สำโรง-สมุทรปราการ ถึงสามแยกสมุทรปราการ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุขุมวิท (ไปทางบางปู) ประมาณ กม. 33 เมืองโบราณจะอยู่ทางซ้ายมือ 2. รถโดยสารสาธารณะ : ใช้รถโดยสารปรับอากาศ สาย ปอ. 511 (สายใต้ใหม่-ปากน้ำ) ลงที่สุดทางแล้วต่อรถสองแถวสาย 36 ซึ่งจะวิ่งผ่านหน้าทางเข้าเมืองโบราณ

อัตราค่าเข้าชมเมืองโบราณ -ค่าเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไป (คนไทย) ผู้ใหญ่ ท่านละ ๑๐๐ บาท เด็ก ท่านละ ๕๐ บาท -ค่าเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไป (ชาวต่างประเทศ ) ผู้ใหญ่ ท่านละ ๓๐๐ บาท เด็ก ท่านละ ๒๐๐ บาท -บริการรถรางนำชมพร้อมมัคคุเทศก์ (บรรยายไทย) ผู้ใหญ่ ท่านละ +๘๐ บาท เด็ก ท่านละ +๕๐ บาท บริการรถรางนำชมพร้อมมัคคุเทศก์ (บรรยายภาษาอังกฤษ) ผู้ใหญ่ ท่านละ +๑๐๐ บาท เด็ก ท่านละ +๑๐๐ บาท -บริการมัคคุเทศก์นำชมส่วนตัว บรรยายภาษาไทย +๑,๐๐๐ บาท ยายภาษาอังกฤษ +๑,๕๐๐บาท นำรถยนต์ส่วนบุคคล/รถตู้ เข้าไป (ไม่รวมคนขับ) คันละ +๑๐๐ บาท -ค่าเช่ารถจักรยาน (ไม่รวมค่าเข้าชม) - รถจักรยาน ที่นั่งเดียว คันละ +๕๐ บาท - รถจักรยาน สามัคคี ๒ ตอน คันละ +๑๐๐ บาท - รถจักรยาน สามัคคี ๓ ตอน คันละ +๑๕๐ บาท -รถจักรยานนำมาเอง คันละ +๓๐ บาท
**บริการพิเศษสำหรับผู้ที่มาเป็นหมู่คณะ รถรางพร้อมมัคคุเทศก์บรรยายภาษาไทย รถรางเหมาคันละ ๕,๒๐๐ บาท สำหรับ ๓๒ ท่าน ต่อคัน รถรางพร้อมมัคคุเทศก์บรรยายภาษาอังกฤษ รถรางเหมาคันละ ๑๒,๐๐๐ บาท สำหรับ ๓๒ ท่าน ต่อคัน**หมายเหตุ อัตราดังกล่าวข้างต้นรวม - บัตรเข้าชม - มัคคุเทศก์ - รถรางนำชม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ ๐-๒๗๐๙-๑๖๔๔-๕,๐-๒๗๐๙-๑๖๔๘
*************************************************

อากาศวันนี้

ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.
ร่องความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศมีฝนชุกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักหลายพื้นที่จึงขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยและพื้นที่ลุ่ม ระวังอันตรายจากฝนตกหนักซึ่งอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและ น้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และ อ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือเนื่องจากคลื่นลมในทะเลจะมีกำลังแรงขึ้นในระยะ 3-4 วันนี้
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่บริเวณจังหวัด แม่ฮ่องสอน แพร่ สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลกอุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ และตาก ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-25 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดขอนแก่น มุกดาหาร ยโสธร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ นครราชสีมา และอุบลราชธานี ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
ภาคกลาง
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดอุทัยธานี นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี และราชบุรี ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออก
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่บริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี และตราด ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ บริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต ตรัง และสตูล ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ภาษาไทย

ภาษาไทย
ภาษาไทย เป็นภาษาราชการของประเทศไทย และภาษาแม่ของชาวไทย และชนเชื้อสายอื่นในประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไต ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาไท-กะได สันนิษฐานว่า ภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางท่านเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับ ตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ เป็นที่ลำบากของชาวต่างชาติเนื่องจาก การออกเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคำ และการสะกดคำที่ซับซ้อน นอกจากภาษากลางแล้ว ในประเทศไทยมีการใช้ ภาษาไทยถิ่นอื่นด้วย

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลาว-ไทย น่ารักๆ

ความน่ารัก ของภาษาไทยกับภาษาลาว
ท = ไทย ล = ลาว
สถานที่
ท : ห้อง คลอด ล : ห้องประสูติ
ท : นางผดุง ครรภ์ ล : นางประสูติ
ท : ห้องไอซียู ล : ห้องมรสุม
ท : ปั๊มเชลล์ ล : ปั๊ม หอย
ท : ไฟ แดง ล : ไฟอำนาจ
ท : ไฟเขียว ล : ไฟอิสระ
ท : ถ่ายเอกสาร / ถ่าย สำเนา ล : อัด เอกสาร
ท : ร้านถ่ายรูป ล : ร้านแหกตา (- -'')
ท : ผ้าเย็น ล : ผ้า อนามัย * เห อๆๆ
ท : Johny Walker ล : บักจอน ย่าง * เฮ้ย วันนี้ไปดื่มบัก จอนย่างกัน เว้ย ....
ท : ผู้ชายมีหนวด ล : ผู้ชายปากหมอย
ท : ผ้าอนามัย ล : ผ้ายันต์กันโลหิต
ท : ถุงยางอนามัย ล : ถุงปลิดชีวิต
หรือจะ เป็น ภาพยนตร์ก็มีนะครับ
ท : Superman ล : บักอึดถลาลม
ท : Face Off ล : หน้าข้อยอยู่ปู๊น หน้าเปิ้นอยู่นี่
ท : Speed ล : เบรกบ่อยู่
ท : สองสิงห์ชิงบัลลังก์ ล : สองสิงห์ชิงตั่งนั่ง
ท : รักจริงๆ ให้ดิ้นตาย ล : ฮักคักคัก ชักแงกแงก
ท : โลก ทั้งใบให้นายคนเดียว ล : โลกโม้ดม้วยให้โต๋ผู้ เดียว
ท : หนูน้อย พเนจร ล : บักหำน้อย ตุหรัด ตุเหร่
ท . ไททานิค ล : ชู้รักเรือ ล่ม
ท . ศรราม ออก อัลบั้ม อย่างนี้ต้องตีก้น ล : ศ่อน ฮาม ออกแผงอย่างนี่ต้องตีดากกกกก
ท . ห้องผ่าตัด ล . ห้องปาด
ท . จู ราสสิคปาร์ค ล . กะปอมพยศ
ท . เชื อด เชือด นิ่ม นิ่ม ล . ปาด ปาด เนิบ เนิบ
ท . หลอด ฟลูออเรสเซนส์ ล . ข้าวหลามแจ้ง
ท . รถไฟ ล . ห้องแถว ไหล
มาดูนักกีฬากันบ้าง
ปล่อย ตัวนักวิ่ง 100 เมตร
ท . เข้า ที่ ล . เข้า ซ่อง
ท . ระวัง ล . โก่งดาก
ท . ไป ล .. แล่น

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติดนตรีไทย

ประวัติดนตรีไทย
ในสมัยกรุงสุโขทัย ดนตรีไทยมีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่น วรรณคดี "ไตรภูมิพระร่วง" กล่าวถึงเครื่องดนตรี ได้แก่ แตร สังข์ มโหระทึก ฆ้อง กลอง ฉิ่ง แฉ่ง (ฉาบ) บัณเฑาะว์ พิณ ซอ ปี่ไฉน ระฆัง กรับ และกังสดาล
สมัยกรุงศรีอยุธยา มีวงปี่พาทย์ที่ยังคงรูปแบบปี่พาทย์เครื่องห้าเหมือนเช่นสมัยกรุงสุโขทัย แต่เพิ่มระนาดเอกเข้าไป นับแต่นั้นวงปี่พาทย์จึงประกอบด้วย ระนาดเอก ปี่ใน ฆ้องวงใหญ่ กลองทัด ตะโพน ฉิ่ง ส่วนวงมโหรีพัฒนาจากวงมโหรีเครื่องสี่ เป็นมโหรีเครื่องหก เพิ่มขลุ่ย และรำมะนา รวมเป็นมี ซอสามสาย กระจับปี่ ทับ (โทน) รำมะนา ขลุ่ย และกรับพวง
ถึงสมัย
รัตนโกสินทร์ เริ่มจากรัชกาลที่ 1 เพิ่มกลองทัดเข้าวงปี่พาทย์อีก 1 ลูก รวมเป็น 2 ลูก ตัวผู้เสียงสูง ตัวเมียเสียงต่ำ รัชกาลที่ 2 ทรงพระปรีชาสามารถการดนตรี ทรงซอสามสาย คู่พระหัตถ์คือซอสายฟ้าฟาด และทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทย บุหลันลอยเลื่อน รัชสมัยนี้เกิดกลองสองหน้าพัฒนามาจากเปิงมางของมอญ พอในรัชกาลที่ 3 พัฒนาเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มคู่กับระนาดเอก และฆ้องวงเล็กให้คู่กับฆ้องวงใหญ่
รัชกาลที่ 4 เกิดวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่พร้อมการประดิษฐ์ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็ก รัชกาลที่ 5 สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงคิดค้นวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์ ในรัชกาลที่ 6 นำวงดนตรีของมอญเข้าผสมเรียกวงปี่พาทย์มอญโดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) มีการนำอังกะลุงเข้ามาเผยแพร่เป็นครั้งแรก และนำเครื่องดนตรีต่างชาติ เช่น ขิม ออร์แกนของฝรั่งมาผสมเป็นวงเครื่องสายผสม