ในฤดูฝนแต่ละ ปี จะสังเกตได้ว่าเด็ก ๆ จะไม่สบายได้ง่าย เพราะอากาศจะเริ่มเย็นลงและชื้นมากขึ้น แถมยังมีเชื้อไวรัสอีกมากมายที่สามารถทำให้เด็ก ๆ ไม่สบายได้ โรคเด็กที่พบบ่อยในฤดูนี้คือ
1. โรคติดเชื้อเฉียบพลันในทางเดินหายใจ
2. โรคที่ยุงเป็นพาหะ เช่น โรคไข้เลือดออกและไข้สมองอักเสบ
3. ถ้ามีน้ำท่วมขังก็จะเห็นโรคเท้าเปื่อยด้วยค่ะ
1. โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจ จะแบ่งได้เป็น
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคไข้หวัด , ไข้หวัดใหญ่ , คออักเสบ , หูชั้นกลางอักเสบ , ไซนัสอักเสบ
โรคติด เชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น โรคปอดบวม , หลอดลมอักเสบ , โรคทางเดิน หายใจอุดตันกระทันหันจากกล่องเสียงอักเสบ [CROUP] และโรคหอบหืด
โรคไข้หวัดและโรคแทรกซ้อนจากหวัด
เป็น โรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ๆ เพราะยังไม่มีภูมิต้านทานที่ดีพอ ฤดูฝนเป็นฤดูที่มีเชื้อไวรัสหลายชนิดที่ทำให้เกิดเป็นหวัดได้และสามารถ ติดต่อกันได้ง่าย จากอากาศที่หายใจ อาการส่วนใหญ่จะมีน้ำมูกไหล, คันตา, จาม, ไอ และอาจจะมีเจ็บคอ, ไข้, ปวดศีรษะ และเบื่ออาหารร่วมด้วย ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นใน 5-7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน [เช่น หูชั้นกลางอักเสบ (เจ็บหู) หรือไซนัสอักเสบ (ปวดศีรษะมาก)] หรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากน้ำมูกที่เปลี่ยนสีจากใส ๆ เป็นเขียว ๆ เหลือง ๆ ไอมากขึ้น, ไข้สูงนานกว่า 3 วัน หรือหายใจลำบาก ก็ควรจะพามาพบกุมารแพทย์เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง บางรายได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่มาก็จะมีอาการที่รุนแรงและอยู่นานกว่าไข้หวัด ธรรมดา ในรายที่เป็นไม่มากก็สามารถดูแลอยู่ที่บ้านได้โดย
- ให้เด็กพักผ่อน
- ดื่มน้ำอุ่น ๆ
- รับประทานยาลดไข้ (ถ้ามีไข้)
- ดูแลให้สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นถ้าอากาศเย็น
- ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมขณะที่เป็นไข้หวัดโดยเฉพาะถ้าเด็กยังเล็กอยู่
- ในเด็กเล็ก ๆ ที่มีน้ำมูกอาจจะช่วยโดยใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำเกลือเช็ดจมูก หรือหยดน้ำเกลือในโพรงจมูกแล้ว ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกออกก่อนดูดนมและก่อนนอน ก็จะช่วยให้เด็กดูดนมและนอนหลับดีขึ้น
โรคปอดบวม
จะเปนได้จากการติดเชื้อ ไวรัสและแบคทีเรีย อาการส่วนใหญ่จะมีเหมือนไข้หวัดมาก่อนแต่จะเริ่มหายใจเร็วขึ้นมีไข้สูง และถ้าเป็นมากขึ้น เด็กจะเริ่มหอบ หายใจลำบากขึ้นจนมีจมูกบานหรือชายโครงบุ๋ม ริมฝีปากเขียวและถ้าเริ่มเห็นอาการดังกล่าว ก็ควรพามาพบแพทย์ค่ะ
โรคหลอดลมอักเสบ และหอบหืด
ส่วนใหญ่จะเริ่มจากมีน้ำมูกใส ๆ ไข้ต่ำ ๆ ไอ ซึ่งอาจจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนหายใจเข้าได้ไม่เพียงพอ หรือถ้ามีอาการหอบ ก็อาจจะได้ยินเสียงวี๊ด [WHEEZING] หายใจเร็วขึ้น, ชายโครงบุ๋มและจมูกบานได้ ส่วนมากถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 18 เดือน อาการหอบครั้งแรกมักจะเป็นจากการติดเชื้อไวรัสหรือจากปอดบวม ส่วนเด็กที่มีอาการหอบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ อยู่เรื่อย ๆ จนโตก็จะเรียกว่าเป็นโรคหอบหืด ซึ่งจะต้องระวังเพราะอาการหวัดก็สามารถทำให้เด็กพวกนี้หอบขึ้นมาได้
โรคทางเดินหายใจ อุดตันกระทันหันจากการบวมอักเสบของกล่องเสียงที่ลามไปถึงหลอดลมใหญ่
[VIRAL CROUP] ในฤดูฝนจะมีเชื้อไวรัสบางชนิดที่จะทำให้เกิดอาการนี้ได้ ส่วนใหญ่จะเห็นในเด็กอายุ 3 เดือน ถึง 3 ขวบ และจะมาด้วยอาการไข้ ไอเสียงก้อง [BARKING COUGH] และเริ่มหายใจเสียงดัง และใช้กล้ามเนื้อส่วนคอในการหายใจเข้า [STRIDOR] ซึ่งจะเห็นได้เมื่อหลอดลมเริ่มอุดตันจากอาการบวมมากขึ้น ถ้าคิดว่าลูกอาจจะเป็นโรคนี้ได้ควรจะพามาพบแพทย์ทันทีค่ะ
2. โรคไข้เลือดออกเด็งกี่ [DENGUE]
เกิดจากเชื้อไวรัส เด็งกี่ซึ่งจะมาจากยุงลายตัวเมืย ที่ดูดเลือดคนเป็นอาหารในเวลากลางวัน ยุงลายชนิดนี้จะวางไข่ในที่ ๆ มีน้ำขังนิ่ง ๆ ดังนั้นในหน้าฝนจึงมียุงลายชนิดนี้มาก อาการจะแบ่งได้เป็น
ไข้เด็งกี่ [DENGUE FEVER]
ซึ่งจะมีไข้สูงลอย (39-40 องศา) 2-7 วัน, ปวดศีรษะ, ปวดท้องแถวลิ้นปี่,ปวดข้อและกล้ามเนื้อ, และอาจจะมีคอแดง, อาเจียร และจุดเลือดออกใต้ผิวหนังได้ ส่วนใหญ่จะไม่มีน้ำมูกหรือไอร่วมด้วย โรคนี้สามารถหายเองได้ใน 4-5 วัน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ไข้เลือดออกเด็ง กี่ [DENGUE HEMORRHAGIC FEVER]
จะมีอาการเหมือนไข้ เด็งกี่ แต่จะมีเลือดออกมากกว่า โดยเฉพาะในวันที่ 3-7 ของโรค เด็กจะเริ่มซึมลง อาเจียรมากขึ้น ปวดท้องและตับโตขึ้นได้ และถ้าเป็นมาก ๆ ความดันอาจจะต่ำและช็อคได้ ดังนั้นถ้าสงสัยว่าเด็กจะเป็นไข้เลือดออก ควรพามาตรวจร่างกายและตรวจเลือดเพื่อช่วยในการดูแลรักษาที่ถูกต้อง
เด็กบางคนอาจจะมีการติดเชื้อไวรัสตัวอื่นที่มีอาการ คล้ายไข้เด็งกี่ได้ แต่อาการจะน้อยและสั้นกว่า วิธีป้องกันคือป้องกันยุงกัดโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน การใช้ยาฆ่ายุงและกำจัดแหล่งเพาะยุงตามที่ ๆ มีน้ำขัง ก็จะช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคไข้เลือดออกก็ได้
3. โรคไข้สมองอักเสบจากไวรัส เจอี
จะเจอได้บิอยในภาค เหนือ,ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ โดยยุงจะเป็นพาหะและจะมีอาการไข้สูง ,อ่อนเพลีย,คลื่นไส้,อาเจียร,ปวดศีรษะ และใน 3-4 วันจะเริ่มมีอาการทางประสาท เช่น ชักแกร็ง,ซึม และอาจจะเสียชีวิตได้ภายใน 10 วัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจจะมีโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม และกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน และระวังไม่ให้โดนยุงกัด
4. โรคเท้าเปื่อยหรือเชื้อราที่เท้า
ตจะเห็นได้ในฤดู ฝน โดยเฉพาะในแหล่งที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ดังนั้นถ้าสามารถหลีกเลี่ยงการลุยน้ำด้วยเท้าเปล่า หรือแช่เท้าในน้ำนาน ๆ ได้ ก็จะช่วยป้องกันโรคเท้าเปื่อยได้ ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำสกปรกมาก็ควรจะล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้งทุก ครั้งค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น