วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มรรคประหารกิเลส


มรรค หนึ่งผลหนึ่งขณะที่เกิดจริงๆนั้นจะเร็วมาก มรรคนั้นเกิดชั่วขณะจิตเดียว ส่วนผลจะเกิดได้มาก

มรรคผลจะเกิดต่อเนื่องเลย เมื่อบุคคลบรรลุสกทาคามีมรรคแล้ว ก็จะบรรลุสกทาคามีผลต่อไปเลย เมื่อบรรลุอนาคามีมรรคแล้ว ก็บรรลุอนาคามีผลต่อเนื่องไปเลยอีกเช่นกัน และเมื่อบรรลุอรหัตตมรรคแล้ว ก็อรหัตตผลต่อเนื่องไปเลย

มรรค เกิดครั้งเดียว แต่ผลเกิดไปตลอด ดังจะเห็นว่าพระอรหันต์หรือพระอริยบุคคลที่เข้าพละสมาบัติสามารถอยู่ได้ถึง เจ็ดวัน มรรคเกิดเพียงขณะจิตเดียวเพราะมรรคทำหน้าที่ประหารกิเลส ท่านอุปมาไว้ว่า เหมือนมีศัตรูอยู่สี่เมืองด้วยกัน เมื่อรบจนชนะศัตรูในเมืองไหนได้ก็ประหารศัตรู จาก นั้นก็เข้าครอบครองเมืองนั้น การประหารศัตรูเป็นมรรค การครอบครองเมืองนั้นเป็นผล การประหารศัตรูสั้นเพียงชั่วขณะจิต แต่การครอบครองเมืองจะอยู่นานเท่าใดก็ได้ ท่านอุปมาว่ามรรคเหมือนกับสายฟ้าแลบ ง่ายนิดเดียว แต่ผู้ปฏิบัติกว่าจะถึงมรรค จะรู้สึกนานเหลือเกิน

มรรคนี้ได้แก่ตัวปัญญาที่พัฒนาขึ้นทำหน้าที่ประหารกิเลสโดย เด็ดขาด เรียกว่า "สมุจเฉทปหาน" กิเลสที่มรรคประหารไปแล้วจะไม่มีโอกาสกลับมาเกิดอีก ต่างกับโลกิยปัญญาอื่นๆที่ทำหน้าที่ประหารร กิเลสชนิดนั้นมีโอกาสกลับมาเกิดอีก ไม่ว่าโลภะ โทสะ หรือโมหะ (กิเลสมีสามขั้นตอน ได้แก่ อย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด)

"สีเลนะ วีติกะมันตัง ปริยุทธัง สมาธินา ปัญญายะ อนุตสยังฉินนัง ขเฉนิพพานะมุตตนัง" ศีลประหารกิเลสอย่างหยาบ สมาธิประหารกิเลสอย่างกลาง ปัญญาประหารกิเลสอย่างละเอียด มรรคนั้นทำหน้าที่ประหารกิเลสอย่างละเอียด ฉะนั้น วิปัสสนาปัญญาหรือภาวนามยปัญญาตัว นี้ทำหน้าที่ประหารกิเลสอย่างละเอียด ตั้งแต่ชั้นโสดาบันประหารสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ชั้นสกทาคามีก็ประหารกิเลสละเอียดต่อๆไป (กิเลสมีทั้งสิ้น ๑๐ ประการ อันเป็นปัจจัยให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารภพแล้วภพเล่า ตราบเท่าที่ยังมีกิเลสเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่าย)



ที่มา
dhammajak
ธรรมเทศนา โครงการ...วิปัสสนาจารย์
โดย...ท่าน อาจารย์ พระสว่าง ติกฺขวีโร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น