วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

*-* C H O C O L A T E *-*

CHOCOLATE

ประวัติ ช๊อกโกแลต
ในปี พ.ศ.2062 เออร์นานโด คอร์เตส แห่งสเปน ได้บุกเข้าโจมตีเม็กซิโก กองทัพของสเปนได้บุกยึดเมืองหลวง แต่เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย ทำให้ทหารสเปนอ่อนเพลียไปตามๆ กัน แต่ระหว่างการเดินทาง คอร์เตสได้รับเครื่องดื่มสีดำ จากชาวเม็กซิโก ที่เรียกว่า ช็อกโกลาธ์ล
ชาวเม็กซิโกได้นำเครื่องดื่ม ช็อกโกลาธ์ล นี้ มาให้ และบอกว่า ได้มาจากการบดเม็ดของลูกคาเคา และละลายน้ำ ถือกันว่า เป็นเครื่องดื่มของพระเจ้า

เมื่อคอร์เตสทดลองดื่มดู ก็แทบจะอาเจียน เพราะรสชาติขมมาก แต่เพราะการเดินทางมาด้วยความเมื่อยล้า จึงต้องดื่ม และแจกจ่ายให้ทหารทุกคน ผลปรากฎว่า ทหารกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากันทุกคน คอร์เตสจึงคิดว่า อาจจะเป็นเพราะ ช็อกโกลาธ์ล ที่ทำให้ทหารทุกคน กระปรี้กระเปร่า
เมื่อยึดเม็กซิโกได้ จึงนำลูกคาเคากลับไปเป็นจำนวนมาก และเวลารับประทานก็เติมน้ำตาลลงไป ทำให้ไม่ขม และเป็นที่นิยมกันมาก เพราะมีรสชาติอร่อยขึ้น จากนั้นก็มีวิวัฒนาการ ไปผสมกับส่วนอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มรสชาติให้อร่อยขึ้น และนำมาทำเป็นแท่ง หรือรูปแบบต่างๆ และกลายมาเป็นช็อกโกแลต อย่างที่เห็นกันในปัจจุบันนั่นเอง !!!
ช็อกโกแลต เป็นขนมหวานที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน โดยเฉพาะเด็ก เพราะมีรสหวาน กลิ่นรสน่ารับประทาน มีรูปแบบในการผลิตหลากหลาย เช่น ชนิดแท่ง เคลือบ สอดไส้ เป็น ช็อกโกแลตประกอบด้วยโกโก้ลิเควอร์ (Cocoaliquar) เนยโกโก้ (Cocoa butter)น้ำตาล เลซิทิน และสารแต่งกลิ่นต่างๆ อาจแบ่งชิดของช็อกโกแลตเป็น 3 ชนิด คือ ช็อกโกแลต (Dark Chocolate) ช็อกโกแลตขาว (White Chocolate) และช็อกโกแลตรสนม (Milk Chocolate) ช็อกโกแลตขาว จะมีส่วนผสมเหมือนช็อกโกแลต แต่ใช้เนยโกโก้เควอร์ จึงทำให้ช็อกโกแลต มีลักษณะเป็นสีขาว และมีรสหวานมาก ในขณะที่ช็อกโกแลตนม จะลดปริมาณโกโก้ลิเควอร์และเติมนมผง

กระบวนการผลิตช็อกโกแลตมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน เริ่มจากการผสมส่วนผสม การบดเพื่อทำให้ละเอียดโดยใช้ลูกกลิ้งบด 6 ตัว เพื่อลดขนาดอนุภาค ขนาดอนุภาคของช็อกโกแลตต้องมีขนาดเล็กมาก ไม่ควรเกิน 35 ไมครอน การนวด ประมาณ 24-48 ชั่วโมง การควบคุมผลึกโดยการควบคุมอุณหภูมิของช็อกโกแลตให้อยู่ในรูปที่เสถียร การขึ้นรูปโดยใช้แม่พิมพ์ โดยแม่พิมพ์ควรมีอุณหภูมิประมาร 30 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้ช็อกโกแลตติดแม่พิมพ์ เคาะแม่พิมพ์เพื่อไล่ฟองอากาศ ทำให้เย็นเพื่อกำจัดความร้อง จากการควบคุมผลึกหากกำจัดความร้อนไม่สมบูรณ์ จะเกิดการหลอมเหลวของไขมัน เป็นคราบขาว บริเวณผิวหน้า ซึ่งเรียกว่า Fat bloom ทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่น่ารับประทาน คุณลักษณะของช็อกโกแลตจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เช่น ช็อกโกแลตชิพ ในคุกกี้ จะต้องไม่ละลายเมื่อนำไปอบ ช็อกโกแลตสำหรับเคลือบจะต้องมีความหนืดต่ำ อ่อนตัวกว่าปกติ เมื่อเคลือบจะได้ไม่หนาเกินไป
ช็อกโกแลตเป็นขนมที่มีคุณค่าโภชนาการค่อนข้างสูง นอกจากให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและไขมันแล้ว ยังมีวิตามิน เอ ดี เค และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง การรับประทานช็อกโกแลตควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน ความดัน ในโลหิตสูง ตามมาก็ได้



*************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น