วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ช็อก! พ่อแม่ผิวสีเมืองผู้ดีให้กำเนิดลูกผิวขาว

หนังสือพิมพ์เดอะซัน แท็บลอยด์จอมแฉของอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 20 ก.ค.2553
ครอบ ครัวผิวสีชาวอังกฤษให้กำเนิดลูกน้อยเป็นทารกผิวขาว นัยน์ตาสีฟ้า และมีเส้นผมสีบลอนด์ ทั้งที่ผู้เป็นบิดาและ มารดาต่างยืนยันว่าคนในตระกูลของตนไม่เคยมีใครแต่งงานกับคนผิวขาวแม้แต่น้อย และนับเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นตะลึงให้วงการแพทย์ไม่น้อย
เบน และ แอนเจล่า ไอเย็กโบโร่ สองสามีภรรยาชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย ซึ่งเป็นคนผิวสีทั้งคู่
ได้ให้กำเนิดหนูน้อย เอ็นมาจิ ลูกสาวซึ่งเป็นลูกคนที่สามของครอบครัว แต่บุตรสาวของพวกเขารายนี้กลับมีสีผิวที่แตกต่างจากสมาชิกคนอื่นอย่างสิ้น เชิง เนื่องจาก ทารกน้อยเอ็นมาจิมีผิวขาว นัยน์ตาสีฟ้า และผมบลอนด์ เหมือนกับคนขาวทั่วไป

ด้าน เบน ผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า ไม่เคยมีคนในตระกูลของตนคนใดแต่งงานกับคนผิวขาว ดังนั้นลักษณะของการมีผิวขาวจึงไม่น่าจะปรากฏเข้ามาในตระกูลของพวกเขาได้

"แม้ ว่าผมจะค่อนข้างตกใจว่า เอ็นมาจิ ใช่ลูกผมจริงหรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าเธอคือลูกของผม และเธอคือปาฏิหาริย์จากพระเจ้า เป็นความสวยงามจากพระเจ้า ตามความหมายของคำว่า เอ็นมาจิ ในภาษาบ้านเกิดของผมในไนจีเรีย" เบนผู้เป็นบิดา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ไบรอัน สไปค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ยืนยันว่ากรณีของหนูน้อยเอ็นมาจิ
ถือเป็นเรื่องที่น่าพิศวงแต่ หนูน้อยรายนี้ไม่น่าจะใช่เด็กเผือกแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่ทำให้เธอมีสีผิวเป็นสีขาว แตกต่างจากพ่อแม่ น่าจะมาจากยีนผิวขาวที่หายไปในหลายช่วงคน ก่อนที่จะกลับมาปรากฏอีกครั้งในตอนนี้มากกว่า
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

น้ำร้อนลวกช้อน อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค


เคย เห็นหม้อลวกช้อนที่ใช้สำหรับลวกช้อนตามฟู้ดเซ็นเตอร์ต่าง ๆ บ้างรึเปล่า

จริง ๆ แล้ววิธีนี้เป็นมาตรการที่เอาไว้ใช้กำจัดเชื้อโรคที่ตกค้างในช้อน เพื่อความถูกสุขลักษณะในการทานอาหาร แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจไปค่ะ เพราะถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนน้ำในหม้อลวกทุกชั่วโมง น้ำในหม้อก็จะกลายเป็นแหล่งรวมสารพัดเชื้อโรคดี ๆ นี่เอง อีกอย่างถ้าน้ำในหม้อไม่เดือด เชื้อโรคก็ไม่มีทางตายไปได้หรอก

ดังนั้น ทุกครั้งก่อนที่จะนำช้อนไปลวก ก็ควรสังเกตดูน้ำในหม้อว่าเดือดหรือไม่ แล้วก็จะควรจะแช่ช้อนไว้สักพักหนึ่งพอสมควร ที่สำคัญหากมีป้ายบอกว่าเปลี่ยนน้ำทุก ๆ กี่ชั่วโมงก็จะเป็นการดีมากขึ้นทีเดียว

เชื้อโรคมีอยู่รอบตัวเรา ทางที่ดีก็อย่าลืมใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของตัวคุณเอง..





แหล่งที่มา : WOMAN'S STORY

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"หมาขี้เรื้อน" เปลี่ยนใจคนใจร้าย


.....ทำไมถึงทำให้คน ใจร้าย เปลี่ยนแปลงตัวเอง.....เพราะอะไร??
เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชิตแกเป็นคนชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับ แม่แกบอกมันบาปนะลูก (ไม่สนโว้ย)
เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งครับมันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อยๆแต่ กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก "xxxกินไม่ลงว่ะ"
แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง (สงสัยมีของ) มันไปหาของกินทีบางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้
คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไป แกเดือดทันทีครับวิ่งตามไป
คราวนี้ทันครับเพราะหมาขี้ เรื้อนวิ่งช้ามาก
แกทุบไปทีเดียวหมานั่นล้มลงชัก ทันที (แกบอกว่าหากตีตรงจุดแค่ไม้บรรทัดก็ตาย)
แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่ จะทำกินตรงนั้น จึงกลับบ้านไปเตรียมของ
(แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน) ให้ผมเฝ้าไว้
ผมก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย) มันไปจริงครับหายวับไป พี่ชิตแกโกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่ แต่ลุงผม แกเป็นนักเลงใหญ่และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้
ก็ต้องวิ่งตามอย่าง เดียวพร้อมบ่น "ทำไมมันไม่ตายวะ"

พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่า
แกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น ..............................................

หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมี ลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านมบางตัวยังกินนมอยู่ บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก (เห็นกับตา) ที่มันยังไม่ยอมตายเพราะต้องกลับไปให้นมลูก แม้น้ำนมแห้งกรัง เอาอาหารไปให้ลูกมัน เรียกลูกๆเพื่อให้นม ให้อาหาร เป็นครั้งสุดท้าย แม่หมาพยายามอย่างดีที่สุด
มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มันให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย

ไม่ อยากเชื่อนั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย
พี่ ชิตไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน
แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูก
แก ไม่พูดอะไรทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอสายตาอ่อนโยนลง

ลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งไปหาแกกระดิก หางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า "ขอโทษ" พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย เราช่วยกันฝังแม่หมา
แกรับเลี้ยงหมานั่น ไว้ ทั้ง5ตัวตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีกแกบอก "มันอาจมีลูกรออยู่ก็ใด้"
เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้งๆที่ไม่เคยทำ

พูดกับแม่ว่า "แม่ตอนผมอายุ16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนใด้ไหมครับ"
แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก ไม่อยากเชื่อแม่หมาขี้เรื้อนตายไป1ตัว
กลับทำให้คนใจร้ายอย่าง แกเปลี่ยนไปขนาดนี้


รักแม่ . . .

ฮือฮา"ขอทานสุดเท่"ดาวดังจีน


เดลี่เมล์รายงานวันที่ 19 ก.ค. ว่า เรื่องราวชีวิตพลิกผันของนายเจิ้ง กั๊วหยง ขอทานชาวจีน วัย 34 ปี

ที่กลายเป็นดาวดังในโลกอินเตอร์เน็ต หลัง มีผู้ถ่ายภาพไปเผยแพร่ในขณะสวมชุดสุดเท่เหมือนสไตล์โบฮีเมียน มีโปรดิวเซอร์ชาวจีนขอซื้อเพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ กำหนดเปิดกล้องในเดือนกันยายนนี้

นายเจิ้งกลายเป็นคนดังในจีน หลังจากปีก่อนมีช่างภาพสมัครเล่น

บันทึกภาพช่วงที่ นายเจิ้งเดินไปตามท้องถนนในเมืองหนิงเป่า มณฑลเจ้อเจียง ภาคตะวันออกของจีน ขอเงินซื้อข้าว และหยิบเอาเศษบุหรี่ที่คนทิ้งแล้วไปสูบต่อ ภาพถ่ายชุดดังกล่าวเผยแพร่ต่อมาในอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เมื่อ เดือนมกราคมปีนี้ และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเท่ มีสไตล์ บางคนยังตัดต่อไปเปรียบเทียบกับนายแบบบนแคตวอล์ก ระดับโลก พร้อมตั้งฉายาว่า "ขอทานที่เซ็กซี่ที่สุดในจีน" และ "พี่ชายสุดเท่"

สื่อมวลชนจีนรายงานประวัติของนายเจิ้ง ว่า ย้ายมาอยู่ที่เมืองหนิงเป่า ตั้งแต่ปี 2539 เพื่อหาเงินเลี้ยงภรรยาและลูก 2 คน

แต่ไม่กล้าติดต่อกลับไปหาทางบ้านอีกเลย เมื่อต้องออกจากงานและหมดเงิน ญาติพี่น้องต่างคิดว่า นายเจิ้งคงตายไปแล้ว กระทั่งได้เห็นภาพอีกครั้งในอินเตอร์เน็ต นาย เจิ้งได้กลับบ้านครั้งแรกในรอบ 14 ปี เมื่อรู้ว่า ภรรยาและพ่อเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต่อมา เมื่อเรื่องราวของนายเจิ้งโด่งดัง มีแฟนๆ ที่ชื่นชอบ ร่วมกันบริจาคเงินให้รวมกว่า 5 แสนบาท หวังให้นายเจิ้งได้ตั้งตัวอีกครั้ง กระทั่งล่าสุดนี้ มีผู้เสนอให้ไปถ่ายแบบ และเป็นนายแบบบนแคตวอล์ก รวมถึงนายเติ้ง เจียงฉัว โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ ขอซื้อเรื่องราวไปสร้างหนัง กำหนดออกฉายในเดือนก.พ.ปีหน้า โฆษกของครอบครัวนายเจิ้งให้สัมภาษณ์เดอะ เทเลกราฟ ว่า เรื่องราวนี้จะเป็นเรื่องเศร้า แต่จะจบแบบแฮปปี้ เมื่อครอบครัวได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เตือนสตรีติดเชื้อเอดส์ยิ่งเสี่ยงป่วยมะเร็งปอดถ้าริเป็นนักสูบบุหรี่ด้วย



กลุ่มสตรีติดเชื้อไวรัสเอดส์ หรือเอชไอวี ถ้ายิ่งสูบบุหรี่ด้วยแล้ว ยิ่งเสี่ยงต่อการพัฒนาป่วยมะเร็งปอดมากกว่ากลุ่มคนไม่ติดเชื้อเอดส์หลายเท่าตัว...
สตรีที่ติดเชื้อเอดส์จะยิ่งป่วยมะเร็งปอดได้ง่ายขึ้นมาก ถ้ายังเป็นนักสูบบุหรี่ด้วย
ผลการศึกษาวิจัยของสถาบันการแพทย์แห่งชาติสหรัฐฯในรัฐแคลิฟอร์เนีย พบว่า กลุ่มสตรีติดเชื้อไวรัสเอดส์ หรือเอชไอวี ถ้ายิ่งสูบบุหรี่ด้วยแล้ว ยิ่งเสี่ยงต่อการพัฒนาป่วยมะเร็งปอดมากกว่ากลุ่มคนไม่ติดเชื้อเอดส์หลายเท่าตัว เนื่องเพราะระบบภูมิคุ้มกันของกลุ่มคนติดเชื้อเอดส์ทำงานได้แย่กว่ากลุ่มคนไม่ติดเชื้อ
อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยชิ้นนี้ยังไม่ระบุชัดเจนว่า เชื้อไวรัสเอดส์ในร่างกายผู้ป่วย เกี่ยวข้องกับการพัฒนาป่วยมะเร็งปอดมากน้อยเพียงใด เพราะยังต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติมลึกลงในรายละเอียดอีก แต่ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยชิ้นนี้ได้ถูกนำลงตีพิมพ์วารสารการแพทย์ในสหรัฐฯแล้ว.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เตือนภัยกินหมูยอดิบอันตรายอาจถึงตาย


สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 โคราชเตือนภัยกินหมูยอดิบอันตรายอาจถึงตาย เสี่ยงรับสารพิษ Clostridium botulinum แนะควรทำให้สุกก่อนรับประทาน
วันที่ 29 มิ.ย. 53 ที่สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 นครราชสีมา นายแพทย์สมชาย ตั้งสุภาชัย ผอ.สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 (สคร.5) นครราชสีมา กล่าวว่า สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษที่สำคัญ ตั้งแต่เดือน ม.ค.- มิ.ย. 2553 พบว่า มีการเกิดโรคขึ้นรวม 30 เหตุการณ์
ซึ่งเหตุการณ์ที่น่าสนใจมี 2 เหตุการณ์ที่มีสาเหตุสงสัยแตกต่างจากเคยเกิดการระบาดมาคือ 1. สงสัยการระบาดของโรค Botulism ที่ จ.ลำปาง เมื่อเดือน เม.ย. 53 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วย 100 ราย เสียชีวิต 2 ราย โดยสงสัยเกิดจากการรับประทานเนื้อหมูป่า และ 2. สงสัยการระบาดของโรค Botulism ที่ จ.สระบุรี เมื่อเดือน พ.ค. 53 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วย 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยสงสัยรับประทานยำหมูยอ ทำจากหมูยอห่อด้วยพลาสติก ซึ่งซื้อจากรถที่มาเร่ขายตามหมู่บ้าน
นายแพทย์สมชาย กล่าวต่อว่า สถานการณ์การระบาดของโรคอาหารเป็นพิษในพื้นที่เขต 14 ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิ และสุรินทร์ ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย. 2553 พบมีผู้ป่วยจำนวน 5,145 ราย อัตราป่วยทั้งหมดเท่ากับ 77.90 ต่อประชากรแสนคน แบ่งเป็นนครราชสีมา ป่วย 1,549 ราย บุรีรัมย์ ป่วย 1,985 ราย สุรินทร์ ป่วย 976 ราย และ ชัยภูมิ ป่วย 635 ป่วย สำหรับในพื้นที่เขต 14 ยังไม่พบการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ ที่เกิดจากเชื้อ Clostridium botulinum ซึ่งพบในหน่อไม้ปี๊บ แต่ล่าสุดพบในหมูยอที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
ทั้งนี้ เนื่องจากในพื้นที่ 4 จังหวัดอีสานตอนล่าง โดยเฉพาะที่ จ.นครราชสีมา มีการผลิตหมูยอเป็นสินค้าของฝากจำนวนมาก จึงอยากฝากเตือนประชาชนผู้บริโภคว่า ควรเลือกซื้อ หรือไม่รับประทานอาหารที่บรรจุในกระป๋องบวม รวมถึงหมูยอที่ห่อด้วยพลาสติกที่ยังทำสุก และอาหารที่หมดอายุ เพราะในอาหารเหล่านี้จะมีสปอร์ เมื่ออยู่ในภาวะที่ไร้อากาศ และความเป็นด่าง สปอร์จะงอกและผลิตสารพิษ Clostridium botulinum ออกมา หากรับประทานหมูยอที่มีพิษเข้าไปอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากจะรับประทานให้เลือกหมูยอที่ห่อด้วยใบตองจะปลอดภัยกว่า หรือควรนำหมูยอที่หอด้วยพลาสติกไปทำให้สุกร้อนจนเดือดก่อนค่อยนำมารับประทาน

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำสอนเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต


1.มนุษย์นี้ ตั้งแต่เริ่มอยู่ในครรภ์ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เมื่อชีวิตเริ่มขึ้นมาแล้ว ก็มีแต่จะบ่ายหน้าไปไม่หวนหลังกลับคืน คนทั้งหลาย ถึงจะพรั่งพร้อมด้วยกำลังพล จะต่อสู้ให้ไม่แก่ไม่ตายก็ไม่ได้ ปวงสัตว์ถูกชาติและชราย่ำยี เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคิดจะบำเพ็ญธรรม

ราชา ผู้เป็นรัฎฐาธิบดี อาจเอาชนะกองทัพซึ่งมีพลสี่เหล่าที่น่าสะพรึงกลัวได้ แต่ไม่สามารถเอาชนะพญามัจจุราช...ราชาบางพวกแวดล้อมด้วยพลช้าง พลม้า พลรถ และพลราบแล้วหลุดพ้นจากเงื้อมมือข้าศึกไปได้ แต่ไม่อาจตีหักให้พ้นพญามัจจุราช...ราชาทั้งหลายผู้แกล้วกล้า สามารถหักค่ายทำลายข้าศึกมากมายได้ด้วยพลช้าง พลม้า พลรถ และพลราบ แต่ไม่อาจตีหักพญามัจจุราช ฯลฯ

มนุษย์ทั้งหลายย่อมบวงสรวงทำให้ยักษ์ ปิศาจ หรือเปรตทั้งหลาย แม้ที่เกรี้ยวกราดแล้ว ยอมสงบพิโรธได้ แต่จะทำให้พญามัจจุราชยินยอมหาได้ไม่ ฯลฯ ผู้ต้องหาทำผิดฐานประทุษร้ายต่อองค์ราชา หรือต่อราชสมบัติก็ดี ผู้ร้ายที่เบียดเบียนประชาชน ก็ดี ยังมีทางขอให้พระราชาทรงผ่อนปรนพระราชทานอภัยโทษได้ แต่จะทำให้พญามัจจุราชผ่อนผันยอมตามหาได้ไม่...

จะเป็นกษัตริย์ก็ตาม พราหมณ์ก็ตามจะร่ำรวย มีกำลังอิทธิพล หรือมีเดชศักดาแค่ไหน พญามัจจุราชไม่เห็นแก่ใครเลย เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความคิดว่า จะบำเพ็ญธรรม ฯลฯ ธรรมนั้นแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงค์แห่งธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ ธรรมกับอธรรม สองอย่างนี้ จะมีผลเหมือนกันก็หาไม่ อธรรมย่อมให้ถึงสุคติ


2. เปรียบเหมือนว่า ภูเขาใหญ่ศิลาล้วนสูงจดท้องฟ้า กลิ้งเข้ามารอบด้าน ทั้งสี่ทิศ บดขยี้สัตว์ทั้งหลายเสีย ฉันใด ความแก่และความตาย ก็ครอบงำย่ำยีสัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้น

ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์และศูทรตลอดจนจัณฑาลและคนเก็บกวาดขยะ ชราและมรณะย่อมย่ำยีทั้งหมด ไม่ละเว้นใครเลย. ณ ที่นั้น ไม่มียุทธภูมิสำหรับพลช้าง สำหรับพลรถ หรือสำหรับพลราบ. จะใช้เวทมนต์ต่อสู้หรือเอาทรัพย์สินจ้าง ก็ไม่อาจเอาชนะได้

เพราะ ฉะนั้นบัณฑิตเมื่อมองเห็นประโยชน์(ที่แท้) แก่ตน พึงปลูกฝังศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์. ผู้ใดประพฤติธรรมด้วยกาย วาจา ใจ ผู้นั้นย่อมเป็นที่สรรเสริญในโลกนี้, จากไปแล้ว ก็บันเทิงในสวรรค์


3. ชาวโลกถูกมัจจุราชคอยประหัตประหาร ถูกชราปิดล้อมไว้ ถูกศรแห่งตัณหาทิ่มแทง พล่านไปด้วยความปรารถนาตลอดทุกเวลา. ชาวโลกถูกมัจจุราชห้ำหั่น ถูกชราล้อมไว้ ไม่มีอะไรต้านทานได้จึงเดือดร้อนอยู่ร่ำไป ราวกะเป็นคนถูกลงโทษ

ความ ตายความเจ็บไข้และความแก่ เป็นเหมือนไฟ 3 กองที่คอยไล่ตาม กำลังที่จะรับมือได้ ก็ไม่มีแรงเร็วที่จะวิ่งหนีก็ไม่พอ (เพราะฉะนั้น) เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า จะน้อยหรือมากก็ให้ได้อะไรบ้าง เพราะวันคืนล่วงเลยไป ชีวิตของคนพร่องลงไปจากประโยชน์ที่จะทำ จะเดินอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม นั่งหรือนอนอยู่ก็ตาม วาระสุดท้ายใกล้เข้ามาๆ ท่านจึงไม่ควรประมาทเวลา

บอร์ด พลังจิต

10 เมืองชายหาดสวยของโลก

อาจจะมาผิดฤดูกาลไปสักหน่อย สำหรับการรวมภาพ 10 เมืองที่มีชายหาดสุดงดงามของโลก ถือเสียว่าเป็นการบอกล่วงหน้าเอาไว้ก่อน

เผื่อจะได้มีเวลาเก็บสตางค์ให้เป๋าตุงกัน เอาไปช้อปปิ้งเที่ยวชายหาดต่อไปนี้ แนะนำว่าสวยมากๆ แต่หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่มีชายหาดของประเทศไทยติดอยู่ด้วย ขอบอกว่านี่ไม่ใช่การจัดอันดับโลกนะครับ แต่เป็นเมืองที่มีชายหาดสวย รวมอยู่ด้วย ดูแบบภาพรวม โอ้ยยยย ยิ่งสาธยายก็จะยิ่งปวดหัว เอาเป็นว่าไปดูภาพกันเลย และหาโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเองให้ได้นะครับ แล้วแวะมาบอกกันด้วยนะว่างามจริงดังว่าหรือเปล่า

Rio de  Janeiro, Brazil
Rio de Janeiro, Brazil

Sydney,  Australia
Sydney, Australia

Vancouver, Canada
Vancouver, Canada

Santa  Monica, California, U.S.
Santa Monica, California, U.S.

Florida, U.S.
Florida, U.S.

Nice,  France
Nice, France

Honolulu, Hawaii
Honolulu, Hawaii

Cape  Town, South Africa
Cape Town, South Africa

Barcelona, Spain
Barcelona, Spain

Tel  Aviv, Israel
Tel Aviv, Israel

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

His Majesty King Bhumibol Adulyadej the Great King Rama IX (1946)


His Majesty King Bhumibol Adulyadej the Great was born on December 5, 1927 to Prince Mahidol of Songkhla and Mom Sangwan. His Majesty is the ninth King of the Chakri Dynasty and the longest-reigning monarch in the history of Thailand.

His Majesty the King is well recognized as the heart and soul of the Thai nation. He is held in high esteem not only by his own subjects, but His Majesty also commands enormous respect from people in all parts of the world.

Everywhere he goes, people turn up to greet him in hundreds of thousands. The manner in which His Majesty conducts himself, giving his whole heart and attention to the people, immediately linked the living symbol of the nation to the people in a bond of mutual understanding and personal affection.

The main concern of His Majesty is for the uplifting of the general well-being of the people. Evidence of this can be drawn from His Majesty the King's ceaseless efforts to visit his subjects in the rural areas. The aim of His Majesty's visits is to learn at first hand about the needs of his subjects.

To obtain such information, His Majesty has to travel many thousands of kilometers throughout the kingdom and, whenever possible, suggests ways to overcome the difficulties. These visits have led to the establishment of over 1,000 Royal and Royally-initiated projects. They are implemented by the relevant agencies of the government after having been given advice and assistance by His Majesty.

His Majesty is the first member of the Royal Family to be granted a patent for an invention. The registered patent is for one of His Majesty's "Chai Pattana Machines"- the Chai Pattana Aerator Model RX 2. The patent rights call it an "apparatus for water treatment", which is used for agricultural and industrial purposes and can be seen operating in many polluted waterways.

Buddhism is the national religion of Thailand and His Majesty constantly shows himself to be a convinced and dedicated disciple of the Lord Buddha. To follow the tradition of young Buddhist men to go into the monastery for a period of time, His Majesty entered the Buddhist monkhood at Wat Bovornnives on 22 October 1956. The Constitution of Thailand, however, does not prescribe the King to be only the Defender of the Buddhist Faith, but also to be the upholder of all Religions. He gives equal attention to the protection of all forms of worship and also to the problems of other religious communities in Thailand.

His Majesty King Bhumibol Adulyadej the Great came to the throne on June 9, 1946. The meaning of his name is "Strength of the Land, incomparable Power". Since that date he has reigned over the Kingdom of Thailand as a constitutional monarch. At the Coronation Ceremony on May 5, 1950, His Majesty the King pronounced the traditional Oath of Accession which stated: -"We will reign with righteousness for the benefit and happiness of the Siamese people". His Majesty's actions since then have thoroughly reflected those words and have always been directed towards increasing the welfare and prosperity of the Thai nation.

On his birthday, which is observed as a National Holiday, all his subjects rejoice in demonstrating once more their affection and loyalty to him. Religious rites are held, houses and buildings are decorated with flags, lights and his portraits. The whole nation prays to the Holy Triple Gem and all the sacred things in the universe to bless His Majesty with good health and happiness and the strength to carry on his onerous task.

Biography of His Majesty King Bhumibol Adulyadej


HIS MAJESTY KING BHUMIBOL ADULYADEJ of Thailand was born in Cambridge Massachusetts, The United States of America, on Monday the 5th of December 1927, being the third and youngest child of Their Royal Highnesses Prince and Princess Mahidol of Songkhla.

Even the facts of his birth seem to be significant in several ways. He is, first of all, the direct grandson of His Late Majesty King Chulalongkorn or Rama V who was renowned for the great reforms which he made to all institutions of Thailand to bring them up to date and in line with the rest of the Western-orientated world.

Prince Mahidol himself was perhaps one of the most modern-minded of all the sons of King Chulalongkorn and his life was dedicated to the development of many modern ideas particularly in the field of Medical Science so that he is now known as the Father of the Modern Thai Medical Profession.

Last but not least, he was given the significant name of Bhumibol Adulyadej, meaning Strength of the Land Incomparable Power which becomes prophetic as his Reign advances through various critical periods and the Thai nation evolves more and more around the Throne as the sole sources of unity and strength.

Prince Mahidol came back to Thailand and passed away when His Majesty was not yet two years old. After a brief period of primary schooling in Bangkok, His Majesty left with the rest of his family for Switzerland where he continued his secondary education at the Ecole Nouvelle de la Suisse Romande, Chailly sur Lausanne and received the Bachelieres Lettres diploma from the Gymnase Classique Cantonal of Lausanne.

He then chose to enter Lausanne University to study Science, but the death of his elder brother King Ananda Mahidol in Bangkok on the 9th. of June 1946, changed the course of his life completely, for the Law of Succession bestowed on him the arduous but challenging function of the Thai Crown. His Majesty decided to go back to Switzerland for another period of study, but this time in the subiect of Political Science and Law in order to equip himself with the proper knowledge for government. In 1950, His Majesty returned to Thailand for the Coronation Ceremony which took place on the 5th. of May.

He went back to Switzerland for another period of study before the urgent call of his country and people brought him back to Thailand in 1951 to stay.

His Majesty met and became engaged on the 19th. of July 1949 to Mom Rajawongse Sirikit, daughter of His Highness Prince Chandaburi Suranath (Mom Chao Nakkhatra Mangala Kitiyakara) and Mom Luang Bua Kitiyakara (nee Mom Luang Bua Snidwongse). His Highness Prince Chandaburi Suranath was the third son of His Royal Highness Prince Chandaburi Narunath and Her Serene Highness Princess Absarasman Kitiyakara.

Their Majesties were married by Her Majesty Queen Sawang Vadhana, the paternal grandmother of His Majesty, at Sra Pathum Palace in Bangkok on the 28th. of April 1950 and Their Majesties have four children.

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เบรอตาญ


เบรอตาญเป็นแคว้น ที่มีลักษณะเฉพาะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์จนไม่น่าเชื่อว่าอยู่ในฝรั่งเศส

ด้วยลักษณะทางกายภาพ ที่เป็นแหลมมีชายฝั่งที่เว้าแหว่งยื่นออกไปในทะเล เบรอตาญจึงเป็นดินแดนที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทะเล สายลม และพายุอยู่เสมอ ชายฝั่งทะเลมีวิวทิวทัศน์และกิจกรรมต่างๆ มากมาย บางแห่งเป็นท่าเรือประมงที่ชุลมุนวุ่นวาย บางแห่งเป็นที่พักตากอากาศเงียบและสงบน่ารื่นรมย์ บางช่วงเป็นเวิ้งอ่าวเหมาะสำหรับกำบังพายุ บางช่วงเป็นหาดทรายละเอียดเนียนเท้า นอกชายฝั่งออกไปในทะเลเป็นเกาะเล็กเกาะน้อย ซึ่งพวกนกทะเลหลายพันธุ์ใช้เป็นสถานที่หลบภัย

ทุกตารางนิ้วในเบรอตาญ ล้วนมีตำนานและเรื่องเล่า มีปราสาทเก่าแก่ชวนฝัน มีบ้านเมืองสวยงามไม่เหมือนที่ใด และมีแม่น้ำลำคลองใช้เป็นที่สัญจรไปมา ชาวเบรอตาญมีวิถีชีวิต ภาษา และวัฒนธรรมเป็นของตนเอง และที่เชิดหน้าชูตา คือ งานเทศกาลต่างๆ ซึ่งถ้าใครอยากเข้าถึงจิตใจของชาวเบรอตาญ จะต้องไม่พลาดที่จะไปร่วมงานเหล่านี้ เช่น พิธี Pardon (ซึ่ง มีพิธีมิสซาที่ยิ่งใหญ่ และมีผู้คนแต่งกายชุดประจำแคว้นเดินแห่แหนไปตามถนน) หรือเทศกาลเซลติค ย้อนอดีตอันยาวนานของชาวเบรอตาญ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานฉลองตามหมู่บ้านเล็กๆ ที่ให้บรรยากาศพื้นเมืองแท้ๆ ชาวเบรอตาญยินดีต้อนรับทุกท่านสู่บ้านที่เปี่ยมสุขอุดมด้วยกุ้งหอยปูปลาสดๆ เชิญดื่มไซเดอร์ ไวน์แอ๊ปเปิ้ลหอมหวาน และต้องมาชิมแครปต้นตำรับที่คุณจะติดใจในรสชาติไปอีกนาน

ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง Les grandes marées

ระดับน้ำในมหาสมุทรที่ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดภูมิประเทศที่แปลกตา ในยามน้ำขึ้นทะเลจะกลืนกินทุกสิ่งจนดูเป็นผืนน้ำสุดลูกตา แต่ยามน้ำลงจะเผยให้เห็นหาดทรายและหมู่หินกระจัดกระจายดูเป็นสถานที่ที่สงบ และสวยงามยามต้องแสงอาทิตย์ ในฤดูหนาวจะมีฝูงนกนับพันตัวมาชุมนุมกันส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่นิยมกันมากคือการเดินข้าม อ่าว Mont Saint-Michel ยามน้ำลง, ตกปลาที่ เกาะ Saint Guay หรือที่ Port Crouesty เดินเล่นตามชายหาด, หาชมสัตว์และพืช แปลกๆ จากนั้นก็มานั่งคอยดูน้ำทะเลที่ค่อยๆ ขึ้น จนกลืนกินทุกสิ่งเหมือนตอนจุดเริ่มต้น

ปารีสและอิล-เดอ-ฟรองซ์


นครแห่งแสง สี สวรรค์ของคู่รัก ศูนย์กลางการออกแบบและแฟชั่นของโลก มหานครทันสมัยที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทั้งหมดนี้ซึ่งเป็นกระจกสะท้อนความ เป็นฝรั่งเศสคือสมญานามเพียงส่วนเดียวของนครปารีสซึ่งยังมีคำจำกัดความอื่นๆ อีกมากมาย...

คงจะเป็นไปไม่ได้ เลยหากจะให้กล่าวถึงปารีสแต่เพียงสั้นๆ และก็คงเป็นเรื่องยากเช่นกันที่จะบรรยายความงามของนครนี้มิให้เกินจริงหรือ ด้อยค่าลง แค่เพียงกล่าวถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ที่โดดเด่นเป็นหนึ่งเดียวในโลกดังเช่น หอไอเฟล ประตูชัย อนุสรณ์สถาน Panthéon หรือ จะเป็นย่านชุมชนที่มีเสน่ห์อย่างม็งต์มาร์ต เลอ มาเร่ส์หรือแซ็งต์ แฌร์แมง เดส์ เปรส์... ก็คงจะเหนื่อยเสียแล้ว ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงผับสไตล์ฝรั่งเศสหรือร้านอาหารนานาชาติจากทั่วทุกมุมโลก หรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่น ลูฟร์ ออร์เซ่ย์ ศูนย์ศิลปะฌอร์ช ปอมปิดู สถาบันอาหรับศึกษา อีกทั้งพิพิธภัณฑ์ "เฉพาะกิจ" ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งเช่น พิพิธภัณฑ์การโฆษณา พิพิธภัณฑ์แฟชั่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะชาวบ้าน... นอกจากนี้ปารีสยังเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาไม่มีวันน่าเบื่อ จนสามารถเขียนถึงได้เป็นหนังสือเล่มใหญ่ทีเดียว ทุกซอกทุกมุมของปารีสมีสิ่งใหม่ๆ รอให้คนต่างถิ่นไปค้นพบและหลงเสน่ห์ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรับลมเย็นๆ ชมพระอาทิตย์ลับฟ้าด้านหลัง Pont des Arts มองมาจาก พิพิธภัณฑ์ลูฟส์ จิบไวน์ขาวในผับย่านเขต 18 ฟังเพลง แจ๊สยามราตรีที่ย่านนักศึกษา Quartier latin ถ้าคุณ ได้ไปเยือนปารีส คุณจะได้สัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของนครแห่งนี้ที่พร้อมจะเป็น ปารีสของคุณ

หลากมุม มองของปารีส

ทิวทัศน์ของปารีสจากมุมกว้าง คุณสามารถเลือกชมได้จากหอไอเฟล ยอดตึก Montparnasse หอคอยของมหาวิหารโนเต รอดาม หรือบนยอดประตูชัย Arc de Triomphe ซึ่งคุณจะ ได้เห็นทัศนียภาพกว้างไกลของมหานครแห่งนี้ แต่หากคุณกลัวความสูงแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้ไปชมสถานที่แปลกตาใต้พื้นดินของปารีสเช่น ห้องโถงโบราณใต้มหาวิหารโนเตรอดาม ซึ่งใหญ่และน่าชมที่สุดของยุโรป หรืออาจจะย้อนอดีตไปชมระบบระบายน้ำโบราณที่พิพิธภัณฑ์ทางระบายน้ำของปารีส ซึ่งยาวถึง 1,500 เมตร หรือไม่ก็ไปชมสุสานที่รวบรวมกระดูกมนุษย์ที่ Catacombes และถ้าคุณไม่ชอบบรรยากาศอับทึบใต้พื้นพิภพ คุณจะต้องชอบการล่องเรือชมเมือง หรืออาจจะเดินชมเมืองตามย่านที่มีสถานที่สำคัญโดยมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นนำชม หรือไม่ก็นั่งรถชมวิวรอบเมือง และถ้าอยากออกกำลังกายไปด้วยก็อาจเช่าจักรยานหรือใช้สเก็ตเที่ยวไปตามเส้น ทางสำหรับนักท่องเที่ยว... ทุกสิ่งตามความสะดวกและ ตามใจคุณ




วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สถานที่ท่องเที่ยวในฝรั่งเศส----> นอร์มองดี


แคว้นนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วยภาพของ โบสถ์บนยอดเขาแซ็งต์ มิเชล (Mont Saint-Michel) ซึ่งยืนหยัดท้าทายกาลเวลามา ตั้งแต่ยุคที่พระในสมัยกลางได้ร่วมแรงกันก่อสร้างโบสถ์นี้ขึ้น นอร์มองดีเป็นศูนย์รวมที่ลงตัวของธรรมชาติจากท้องทะเลอันอุดม พื้นดินที่สมบูรณ์และชุมชนอันแสนสุข

ทุ่งดอกไม้ริมน้ำ สีสันสดใสงามสะพรั่งที่เมืองอ็งเฟลอร์ (Honfleur) หน้าผาหินธรรมชาติ เป็นรูปหัวช้างดูแปลกตาที่เอเทรอตาต์ (Etretat) สถาน ที่โต้คลื่นที่โดวิล (Deauville) หรือชายฝั่งเว้า แหว่งที่โกต็องแต็ง (Cotentin) เป็นจุดเด่นทาง ธรรมชาติริมทะเลของแคว้นนี้ ส่วนด้านในลึกเข้าไปในแผ่นดินจะมีเส้นทางชมทิวทัศน์ที่ลัดเลาะไปตามแหล่ง ผลิตน้ำไซเดอร์ (ไวน์จากผลแอ๊ปเปิ้ล) มีกังหันลมแบบเก่าเป็นระยะและเนินป่าเชียวชอุ่ม นอกจากนี้ยังมีเส้นทางสาย Pays de Caux ที่งดงาม มีบ้านเรือนที่ประดับผนังด้านนอกด้วยไม้ซุงเป็นลวดลายเรขาคณิต วิหารประจำเมืองบาเยอซ์ (Bayeux) และอารามเก่าแก่ อีกหลายแห่ง ทุกที่ของแคว้นมีอะไรใหม่ๆ ให้แปลกใจและตื่นตาได้เสมอ เช่นเดียวกับที่จิตรกรและนักเขียนชื่อดังหลายท่านติดใจในความงามของแสง สะท้อนระยิบระยับบนผิวแม่น้ำแซน ความสวยเกินบรรยายของชายทะเลและบรรยากาศที่เปี่ยมเสน่ห์ของท้องถิ่นนี้เป็น แรงบันดาลในการสร้างสรรค์ผลงานให้กับจิตรกรผู้มีพรสวรรค์ เช่น Millet, Eugène Boudin, Corot, Pissarro และเป็นที่ที่นักประพันธ์ เอกอย่าง Victor Hugo หรือ Alexandre Dumas ผู้บิดา ใช้บรรยายเป็นฉากของนิยายชื่อดังหลายเรื่อง

นอร์มองดีผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนในประวัติศาสตร์ ที่โลดโผน เป็นแหล่งศิลปะและประวัติศาสตร์ที่สำคัญ มีความโดดเด่นในแทบทุกด้าน รวมทั้งเรื่องอาหารการกิน โดยเฉพาะเนยสดและเนยแข็งที่มีมากถึง 32 ชนิด ครีมสดข้นมัน ไส้กรอกเครื่องในของเมืองก็อง (Caen) และวีร์ (Vire) เหล้า Calvados หอมแรงซึ่งล้วน แล้วแต่เป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น

อุทยานและสวนสวย

นอร์มองดีเป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่าบริบูรณ์ ผืนดินดีและแสงแดดเจิดจ้าเหมาะกับการเพาะปลูกพืชผลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

บรรดาชาวสวนจะทุ่มเทชีวิตจิตใจในการจัดสภาพแวดล้อมทาง ธรรมชาติให้สวยงามชื่นตาชื่นใจในหลายรูปแบบ เช่น จัดแต่งสวนต้นไม้ในปราสาทต่างๆ ของท้องถิ่น (เช่น ที่ปราสาท Brécy, Harcourt, Vandeuvre, Beaumesnil) เพิ่มสีสันในสวนด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ (เช่น ที่สวน Giverny, Bellevue, Clos du Coudray) หรือ โดยการเน้นภูมิทัศน์ (Jardins d’Elle, Parc du Bois des outiers, Jardins du pays d’Auge) ปัจจุบันมีสวนถึง 32 แห่งที่เปิดให้เข้าชมได้และรวมตัวกันเป็นสมาคมอุทยานและสวนแห่ง นอร์มองดี

ระวัง 10โรคหน้าฝน


นายวงวัฒน์ ลิ่วลักษณ์ ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กทม. เปิดเผยว่า ขณะนี้เป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ฤดูฝน ส่งผลให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ฝนตกต่อเนื่องและเกิดน้ำท่วมขังได้ หากประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุดูแลรักษาสุขภาพของตนไม่ถูกต้อง อาจทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อต่างๆ อาทิ โรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร โรคติดเชื้อทางระบบผิวหนัง โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ โรคไข้เลือดออก

โรคติดต่อระบบทางเดินอาหาร

โรคติดต่อทางน้ำและทางอาหารโดยเฉพาะในช่วงที่มีน้ำท่วม เช่น โรคท้องเดินหรือโรคอุจจาระร่วง โรคบิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำปนเปื้อนเชื้อโรค รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในอากาศจากการไอ จาม หรือมือที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะ กลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็กต่ำกว่า 5 ขวบ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากเมื่อเป็นโรคปอดบวมอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ได้

ระวังอันตรายโรคฉี่หนู

โรคเลปโตสไปโรซิส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในฉี่หนูหรือสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข สุกร โค กระบือ สัตว์ป่าและสัตว์ฟันแทะที่เป็นสัตว์รังโรค โดยเชื้อปนเปื้อนในน้ำและสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน โคลน แอ่งน้ำ ร่องน้ำ น้ำตก ที่ชื้นแฉะมีน้ำท่วมขัง เมื่อคนเดินย่ำน้ำหรือเล่นน้ำนานๆ เชื้อก่อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เปื่อยยุ่ย บาดแผล รอยถลอก รอยขีดข่วน เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา เยื่อบุในช่องปาก และอาจติดเชื้อจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำปนเปื้อนฉี่หนู หากติดเชื้อและทิ้งไว้เป็นเวลานานอาจเสียชีวิตได้

ยุง หลากชนิดนำพิษโรคร้าย

โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัส มียุงลายเป็นพาหะนำโรค เมื่อถูกยุงที่มีเชื้อกัดและแสดงอาการต้องสงสัยติดเชื้อให้รีบพบแพทย์ หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้องทันเวลาอาจเสียชีวิตได้ โรคมาลาเรีย เกิดจากเชื้อโปรโตซัว มียุงก้นปล่องที่มีแหล่งอาศัยในป่าตามแนวชายแดนของประเทศเป็นพาหะนำโรค เมื่อถูกยุงนำเชื้อกัดประมาณ 1530 วันจะมีอากาศป่วย ต้องรีบพบแพทย์ตรวจและรักษาโดยเร็ว หากทิ้งไว้นานอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเสียชีวิตได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ โรคไข้สมองอักเสบ เจ อี เกิดจากเชื้อไวรัส มียุงรำคาญเป็นพาหะนำโรคมักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำทุ่งนา ซึ่งยุงรำคาญได้รับเชื้อจากการกินเลือดสัตว์ เมื่อกัดคนจะปล่อยเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงอาจไม่รู้สึกตัวและเสียชีวิต บางรายหายป่วยเกิดความพิการทางสมอง สติปัญญาเสื่อม หรือเป็นอัมพาตได้

หมั่น รักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงน้ำสกปรก

โรคเยื่อตาอักเสบ หรือตาแดง เกิดจากเชื้อไวรัส โดยเชื้ออยู่ในน้ำตาและขี้ตา ติดต่อโดยการสัมผัสใกล้ชิด หรือใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน การใช้น้ำไม่สะอาดล้างหน้า อาบน้ำ ถูกน้ำสกปรกที่มีเชื้อโรคกระเด็นเข้าตา หรือการใช้มือ แขน และเสื้อผ้าสกปรกขยี้ตา หรือเช็ดตา โรคน้ำกัดเท้า เกิดจากเชื้อรา สาเหตุมาจากการทำงานที่ต้องลุยอยู่ในน้ำสกปรกนานๆ ทำให้ผิวหนังซอกนิ้วเท้าแดง ขอบนูนเป็นวงกลม คัน หากเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองเยิ้ม

สังเกตบริเวณบ้าน งดทานเห็ดพิษ

อันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง หนีมาหลบอาศัยในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะช่วงที่มีน้ำท่วมขัง และโรคอาหารเป็นพิษจากเห็ดพิษ จากรายงานการเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยเสียชีวิตจากการรับประทานเห็ดพิษทุกปี โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูฝน ตั้งแต่เดือน พ.ค. พ.ย. ด้วยการรับประทานเห็ดที่ขึ้นเองในป่า สวน ไร่ หรือเห็ดขึ้นเองตามธรรมชาติ ส่วนมากพบในภาพเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ขอให้ประชาชนระมัดระวังรักษาสุขภาพร่างกายให้อบอุ่น แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ซึ่งทำได้ง่ายๆ เพียงล้างมือฟอกสบู่ก่อนรับประทานอาหาร ดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ หลังจากเดินย่ำน้ำให้ล้างมือล้างเท้าทุกครั้ง ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและระวังอย่าให้ยุงกัด อย่าใช้มือ แขน และผ้าสกปรกขยี้ตา หรือเช็ดตา ระวังไม่ให้น้ำสกปรกเข้าตา เมื่อน้ำสกปรกเข้าตาให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทุกครั้ง หากมีอาการเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือผิวหนังเริ่มเปื่อย เกิดตุ่มคัน น้ำกัดเท้า หรือมีบาดแผล ให้รีบพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มเป็น ก่อนที่อาการจะลุกลาม



ที่ มา: กองประชาสัมพันธ์ กทม.

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช


จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เพลงพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรีชาญาณในเรื่องของดนตรี กีฬา พระองค์ทรงเป็นนักประพันธ์ชั้นครู ทรงพระราชนิพนธ์เพลงไว้มากมาย มีความไพเราะเป็นยิ่งนัก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงตั้งแต่ยังทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช รวมบทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสิ้น 48 เพลง เพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนอง และคำร้องภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เอง มี 5 เพลง คือ "
Echo", "Still on My Mind", "Old-Fashioned Melody", "No Moon" และ "Dream Island" นอกจากนี้ มี 2 เพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองขึ้นภายหลังใส่ในคำร้องที่มีผู้ประพันธ์ไว้แล้ว คือ "ความฝันอันสูงสุด" และ "เราสู้"
ผู้ที่โปรดเกล้าฯ ให้แต่งคำร้องประกอบเพลงพระราชนิพนธ์มีหลายท่าน ได้แก่
หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์, ศาสตราจารย์ ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา, ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร, ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา, นายจำนงราชกิจ (จรัล บุณยรัตพันธุ์), ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ม.ล.ประพันธ์สนิทวงศ์ และท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เป็นต้น
ในยุคแรก หลังจากที่เพลงพระราชนิพนธ์มีทำนองและคำร้องสมบูรณ์แล้ว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ครู
เอื้อ สุนทรสนาน นำไปบรรเลงในวงดนตรีกรมโฆษณาการหรือวงสุนทราภรณ์ เพื่อให้แพร่หลายทั่วไป ปรากฏว่าหลายเพลงกลายเป็นเพลงยอดนิยมทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ในระยะหลังพระองค์ทรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย ทำให้พระองค์ทรงไม่มีเวลาที่จะทรงพระราชนิพนธ์เพลงใหม่ๆออกมา เพลงสุดท้ายที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ออกมาคือเพลง "
เมนูไข่" เป็นเพลงแนวสนุกสนาน เนื้อร้องโดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานเป็นของขวัญวันพระราชสมภพครบ 72 พรรษาแด่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2538
ต่อมาได้มีการอัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเรียบเรียงเป็นภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด 27 เพลง โดย
เปรมิกา สุจริตกุล โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2552 และได้ลงพิมพ์เนื้อร้องในหนังสือ "โสมส่องแสง" เพื่อมอบแก่สมาคมนักเรียนเก่าฝรั่งเศส, สมาคมฝรั่งเศส (Alliance Française), สมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ชมรมสมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Legion d”Honneur และสถานทูตฝรั่งเศส เพื่อส่งเสริมการศึกษาภาษาฝรั่งเศสโดยใช้บทเพลงเป็นสื่อ

เพลงพระราชนิพนธ์

1. แสงเทียน (Candlelight Blues)
2.
ยามเย็น (Love at Sundown)
3.
สายฝน (Falling Rain)
4.
ใกล้รุ่ง (Near Dawn)
5.
ชะตาชีวิต (H.M. Blues)
6.
ดวงใจกับความรัก (Never Mind the Hungry Men's Blues)
7.
มาร์ชราชวัลลภ (Royal Guards March)
8.
อาทิตย์อับแสง (Blue Day)
9.
เทวาพาคู่ฝัน (Dream of Love Dream of You)
10.
คำหวาน (Sweet Words)
11.
มหาจุฬาลงกรณ์ (Maha Chulalongkorn)
12.
แก้วตาขวัญใจ (Lovelight in My Heart)
13.
พรปีใหม่
14.
รักคืนเรือน (Love Over Again)
15.
ยามค่ำ (Twilight)
16.
ยิ้มสู้ (Smiles)
17.
มาร์ชธงไชยเฉลิมพล (The Colours March)
18.
เมื่อโสมส่อง (I Never Dream)
19.
ลมหนาว (Love in Spring)
20.
ศุกร์สัญลักษณ์ (Friday Night Rag)
21.
Oh I say
22.
Can't You Ever See
23.
Lay Kram Goes Dixie
24.
ค่ำแล้ว (Lullaby)
25.
สายลม (I Think of You)
26.
ไกลกังวล (When), เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย
27.
แสงเดือน (Magic Beams)
28.
ฝัน (Somewhere Somehow), เพลินภูพิงค์
29.
มาร์ชราชนาวิกโยธิน (Royal Marines March)
30.
ภิรมย์รัก (A Love Story)
31.
Nature Waltz
32.
The Hunter
33.
Kinari Waltz
34.
แผ่นดินของเรา (Alexandra)
35.
พระมหามงคล
36.
ยูงทอง
37.
ในดวงใจนิรันดร์ (Still on My Mind)
38.
เตือนใจ (Old-Fashioned Melody)
39.
ไร้เดือน (No Moon), ไร้จันทร์
40.
เกาะในฝัน (Dream Island)
41.
แว่ว (Echo)
42.
เกษตรศาสตร์
43.
ความฝันอันสูงสุด (The Impossible Dream)
44.
เราสู้
45.
เรา-เหล่าราบ ๒๑ (We-Infantry Regiment 21)
46.
Blues for Uthit
47.
รัก
48.
เมนูไข่

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

5 อันดับ คณะที่จบแล้ว หางานง่าย

เรามีบทความมาผ่อนคลายให้หายเครียด วันนี้เริ่มเลยกันที่เรื่อง 5 อันดับคณะที่เรียนจบแล้วหางานง่าย สุดๆ ^_^โดยการจัดอันดับในครั้งนี้ทาง สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ที่ไปสำรวจถามความเห็นของพี่ๆนิสิตนักศึกษา นายจ้าง ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ ว่าคณะไหนที่เรียนแล้ว หางานง่ายที่สุด ซึ่งก็ได้คำตอบมาดังนี้..


- อันดับ 1 แพทย์ / พยาบาล ร้อยละ 27.55
- อันดับ 2 คอมพิวเตอร์ ร้อยละ 25.62
- อันดับ 3 บัญชี / การตลาด ร้อยละ 18.59
- อันดับ 4 บริหาร / การจัดการ ร้อยละ 16.70
- อันดับ 5 นิติศาสตร์ / รัฐศาสตร์ ร้อยละ 11.54

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู


ลูกๆทุกคนก็ได้รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ
ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ

ทีนี้ มาดูตัวอย่างบ้าง บุคคลที่เป็นยอดกตัญญูที่น่าประทับมากที่สุดคือใคร ทราบไหม...ในหลวงของเรา
ในหลวงของเรานอกจากจะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลกแล้ว ในหลวงของเรายังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย ความหวังของแม่ทั้ง 3 หวังในหลวงปฏิบัติได้ครบถ้วน สมบูรณ์ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดให้แก่พวกเรา

หวังที่ 1
ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้

ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหน ก็มีคนเยอะแยะทั้งทหาร องครักษ์ พยาบาล คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว แต่ในหลวงบอกว่า “ไม่ต้อง คนนี้เป็นแม่ของเรา เราประคองเอง”
ลองหันมาดูพวกเราส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหนแต่งตัวโก้ บางคนแต่งเครื่องแบบเต็มยศ ติดเหรียญตรา เหรียญกล้าหาญเต็มหน้าอก แต่เวลาเดินไม่กล้าประคองแม่ กลัวไม่สง่า กลัวเสียศักดิ์ศรี
บางคนพอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้ากราบไหว้แม่เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ เป็นชาวนา เป็นลูกจ้าง ไม่เคารพแม่ ดูถูกแม่ แต่ในหลวงเทิดแม่ไว้เหนือหัว
สมเด็จย่ามิได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นสามัญชน เป็นเด็กหญิงสังวาล แต่ในหลวงเกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์ แต่ในหลวงซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินก้มลงกราบคนธรรมดาที่เป็นแม่ หัวใจลูกที่เคารพแม่ กตัญญูกับแม่อย่างนี้หาไม่ได้อีกแล้ว

หวังที่ 2
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา

สมเด็จย่าประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ในหลวงเสด็จไปเยี่ยมทุกคืน ตี 4 เศษๆถึง
จึงเสด็จกลับ ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่าคืนละหลายชั่วโมง ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน แม่...พอเห็นลูกมาเยี่ยมก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว นี้ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ป้อนข้าวป้อนน้ำให้แม่ ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่
ลองหันมาดูตัวเราเอง ตอนพ่อแม่ป่วย โผล่หน้าเข้าไปดูหน่วยหนึ่งถามว่าวันนี้อาการเป็นยังไง พ่อแม่ยังไม่ทันตอบเลย มีธุระ ต้องไปแล้ว โผล่หน้าไปให้เห็นพอเป็นมารยาท เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู เราไม่ได้ไปทดแทนพระคุณท่าน

หวังที่ 3
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ

วันนั้น ในหลวงเฝ้าสมเด็จย่าอยู่จนตี 4 จับมือแม่ กอดแม่ ปรนนิบัติแม่จนกระทั้งแม่หลับจึงเสด็จกลับ พอถึงวัง เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่าสมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบเสด็จกลับศิริราช เห็นสมเด็จย่านอนหลับอยู่บนเตียง ในหลวงตรงเข้าไป คุกเข่ากราบลงที่หน้าอกแม่ ซบพระพักตร์นิ่งอยู่นาน แล้วค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้น น้ำพระเนตรไหลนอง ต่อไปนี้จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว เอามือกุมมือแม่ไว้ มือที่ปั้นลูกจนได้เป็นกษัตริย์ เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง ชีวิตลูก...แม่ปั้น พระองค์มองเห็นหวีปักอยู่ที่ผมแม่ ค่อยๆหวีผมให้แม่ หวี...หวี...หวี...หวีให้แม่สวยที่สุด แต่งตัวให้แม่สวยที่สุด...ในวันสุดท้ายของแม่
พระองค์เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...หาที่เปรียบมิได้อีกแล้ว
“กษัตริย์ยอดกตัญญู”

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

หลากหลายเหตุผลที่คนไทยรักในหลวง

พระเจ้าอยู่หัวยังอยู่
นับเป็นห้วงเวลาที่ยากจะทำใจ เมื่อคนไทยต้องสูญเสียพระเจ้าอยู่รัชกาลรัชกาลที่ 8 ผู้ทรงงามทั้งพระสิริโฉม งามทั้งพระราชจริยวัตร และยังทรงเป็น “ความหวัง” อันสดใส ด้วยทรงริเริ่มปฏิบัติพระราชภารกิจอย่าง “พระเจ้าแผ่นดินยุคใหม่” เสด็จฯ เยี่ยมเยียนพสกนิกรอย่างใกล้ชิด โดยมีพระอนุชาธิราชทรงร่วมปฏิบัติพระราชภารกิจอย่างเข้มแข็ง
เมื่อมาเสด็จสู่สวรรคาลัยรวดเร็วเช่นนี้ ความหวังอันเรืองรองที่ฉายโชนอยู่ในใจคนไทยก็ดูคล้ายจะดับวูบไปชั่วขณะและนี่คือพระราชดำรัสปลุกปลอบ ที่กลายเป็นเปลวเทียนจุดสว่างกลางความมืดมนในใจราษฎร
“พระเจ้าอยู่หัวยังอยู่ พระอนุชาต่างหากที่ไม่มีแล้ว”

น้ำพระทัยผ่านมา
ที่หมู่บ้านชำเมย อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ผู้เสด็จท่านหนึ่งเล่าว่ามีป้ายเล็กๆฝีมือคนในหมู่บ้านเขียนติดไว้ข้างทาง ข้อความบนป้ายนั้นมีอยู่ว่า “น้ำแล้งผ่านไป เมื่อน้ำพระทัยผ่านมา”

24 ชั่วโมง
“...เพื่อนฝรั่งผมเคยถามว่า ทำไมคนไทยจึงได้รักในหลวงมาก ผมเอาภาพถ่ายต่างๆให้เขาดู แล้วบอกว่า King ของเราทรงทำงานเหนื่อยเพื่อคนไทยทั้งชีวิต อะไรที่ทำเพื่อประชาชนคนไทย พระองค์ท่านทรงทำหมด ไม่ว่าคนไทยจะอยู่ส่วนไหนของประเทศ พระองค์ไปถึงหมด แล้วผมก็เอาภาพพระราชวังให้ดู แล้วบอกเขาว่า เห็นไหม พระราชวังที่ท่านอยู่ไม่เหมือนที่อื่นเลย พระองค์อยู่เช่นสามัญชน ทรงทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
ผมถามเขาว่า ชีวิตคุณเคยมีใครไหมที่ทำอะไรเพื่อคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง... ”

ตัดสินใจได้
“...ตอนเกิดเหตุการณ์สึนามิที่ภาคใต้ เราเองอยู่ที่กรุงเทพฯ ตั้งใจจะแค่ส่งกำลังใจไปช่วยและบริจาคเงินเท่านั้น แต่พอทราบข่าวว่า ในหลวงท่านทรงห่วงใยผู้ได้รับเคราะห์ถึงขั้นลงมากำกับการส่งสิ่งของพระราชทานด้วยพระองค์เอง เราถึงกับน้ำตาคลอเลย
คืนนั้น ตัดสินใจเก็บผ้าใส่กระเป๋า ลงไปเป็นอาสาสมัครช่วยผู้ประสบภัยทันที..”
ราษฎรยังอยู่ได้
พ.ศ. 2513 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎรในตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองพัทลุง อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้เวลานั้น
ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น ทางกระทรวงมหาไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน แต่คำตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือ
“ราษฎรเขาเสี่ยงภัยกว่าเราหลายเท่า เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้ แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ”

ทิ้งได้อย่างไร
19 สิงหาคม 2489 หลังจากทรงรับอัญเชิญขึ้นครองราชย์ได้สองเดือนเศษ ก็ต้องทรงอำลาประเทศไทยเพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปเรียนต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ขณะที่รถยนต์พระที่นั่งแล่นจากพระบรมมหาราชวัง ผ่านถนนราชดำเนินกลาง มุ่งสู่สนามบินดอนเมือง ท่ามกลางประชาชนชาวไทยที่มาส่งเสด็จสองข้างทาง
อาจด้วยอารมณ์อ้างว้างและใจหาย ผลักดันให้ชายคนหนึ่งในหมู่พสกนิกรร้องตะโกนขึ้นมาขณะที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านว่า
“อย่าละทิ้งประชาชน !”
ไม่มีใครรู้ความในพระราชหฤทัยที่มีต่อเสียงร้องนั้น จนเมื่อได้พระราชทานพระราชนิพนธ์
“เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์” ลงตีพิมพ์ในหนังสือ “วงวรรณคดี” อีกหลายเดือนต่อมาว่า
“...อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งได้อย่างไร...”
ความในพระราชหฤทัยที่มีต่อประชาชนนี้ บัดนี้มีอายุถึงหกสิบปีแล้ว แต่ยังมีคนไทยผู้ใดลืมได้ลง

ของมีค่าหายาก
ในปี พ.ศ.2498 เมื่อชาวอีสานทราบข่าวดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจะเสด็จฯ เยี่ยมอีสานเป็นเวลายาวนานถึง 19 วัน ระหว่างวันที่ 2-20 พฤศจิกายน 2498 จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวอีสานจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจเพียงใด
เพราะอีสานเวลานั้นแห้งแล้งเหลือแสน ยังไม่มีอ่างเก็บน้ำชลประทานดังเช่นปัจจุบัน เส้นทางรถยนต์ในยุคนั้นก็ยังเป็นดินแดงๆทุรกันดาร น้ำพระราชหฤทัยที่แสดงออกด้วยการเจาะจงเสด็จฯ เยี่ยมอีสาน จึงเป็นเสมือนน้ำฝนฉ่ำที่หยาดลงมาบนผืนดินที่แห้งผาก
ยังไม่ทันที่พระองค์จะเสด็จฯ มาถึง น้ำพระทัยที่เย็นดุจสายฝนหยดแรกก็หยาดนำทางลงมาเสียแล้ว เมื่อมีข่าวว่า กรมทางหลวงเตรียมนำ “น้ำ” มาราดถนนทางเสด็จพระราชดำเนินเพื่อมิให้ถนนเกิดฝุ่นแดงคลุ้งเมื่อรถพระที่นั่งแล่นผ่าน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งห้ามว่า ไม่ให้นำน้ำซึ่งเป็นของที่มีค่าหายากมาราดถนนรับเสด็จ แต่ให้สงวนน้ำไว้ให้ราษฎรใช้อาบกิน

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

AmpaWa Floting Market

ในอดีตเมืองอัมพวาถือว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญของจังหวัดสมุทรสงคราม มีตลาดน้ำขนาดใหญ่และชุมชนริมน้ำที่เป็นศูนย์กลางด้านพาณิชยกรรม แต่ผลกระทบของการพัฒนาการคมนาคมทางบก ทำให้ความเป็นศูนย์กลางฯ ของอัมพวาต้องสูญเสียไป ตลาดน้ำค่อยๆลดความสำคัญและสูญหายไปในที่สุด ทิ้งไว้แต่ร่องรอยของความเจริญในอดีตซึ่งยังคงปรากฏให้เห็นชัดเจนในทุกวันนี้ ทางเทศบาลตำบลอัมพวา โดยความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในท้องถิ่น ได้ฟื้นฟูตลาดน้ำอัมพวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่ออนุรักษ์ความเป็นอยู่ของชุมชนริมน้ำ ซึ่งในปัจจุบันจะหาดูได้ยาก ให้สืบทอดตลอดไป โดยใช้ชื่อว่า "ตลาดน้ำยามเย็น"
ตลาดน้ำโดยทั่วไปมักจะจัดขึ้นในเวลากลางวัน แต่ตลาดน้ำยามเย็น ที่อัมพวาแห่งนี้ จะจัดขึ้นในช่วงงเวลาเย็นเรื่อยไปจนถึงเวลาพลบค่ำ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ที่จัดในลักษณะเช่นนี้ ในตอนเย็นชาวบ้านจะเริ่มทยอยพายเรือนำสินค้าหลากหลายนานาชนิด อาทิ อาหาร ผลไม้ พืชผัก ขนม ของกินของใช้ มาขายให้กับนักท่องเที่ยว หรือคนในท้องถิ่นที่สัญจรไปมาที่ตลาดอัมพวา ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติของชีวิตของชุมชนริมน้ำ ซึ่งเป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถที่จะหาซื้ออาหารมานั่งรับประทาน บริเวณริมคลองอัมพวาติดกับตลาดน้ำ ซึ่งได้มีการจัดสถานที่ไว้ ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่ง
การเดินทาง
ทางรถยนต์จากตัวจังหวัดใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 325 ทางเดียวกับไปอำเภอดำเนินสะดวกและอุทยาน ร.2 ประมาณ 6 กม ก่อนถึงสามแยกไฟแดง มีทางแยกทางซ้ายเข้า อ.อัมพวา ไปอีกประมาณ 800 เมตร. ทางแยกซ้ายมือ เข้าตลาดอัมพวา จอดรถบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภออัมพวา
รถประจำทางจากสถานีขนส่งสายใต้
รถสาย 996 กรุงเทพฯ-ดำเนินฯ เป็นรถปรับอากาศ ผ่านจังหวัดสมุทรสงครามถึงตลาดอัมพวา
สาย 976 กทม.-สมุทรสงคราม ถึงสถานีขนส่งสมุทรสงคราม ขึ้นรถประจำทางสาย 333 แม่กลอง-อัมพวา-บางนกแขวก ถึงตลาดอัมพวา